
“LESS PLASTIC ABLE” ช่วยกันลด ช่วยกัน LESS
คนสายรักษ์โลกจะถูกใจกับร้านนี้ “Less Plastic Able” ร้านรีฟีลล์เล็กๆ ย่านฝั่งธน-วงเวียนใหญ่ ที่สามารถนำภาชนะอย่างขวดพลาสติกใช้แล้วมาบรรจุผลิตภัณฑ์ที่เลือกซื้อจากร้านได้อ
เสียงซึง สะล้อ บรรเลงดังแว่วหวานอยู่ตั้งแต่เรามาถึงหน้าวัด มองเข้าไปถึงเห็นตูบ หรือกระท่อมเล็กๆ ที่มีพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยหลายคนเล่นดนตรีบรรเลงอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ มองเห็นวิหารไทลื้อขนาดใหญ่ อยู่ด้านหลัง นั่นหมายความว่า เราเดินทางมาถึงถิ่นไทลื้อวัดหนองบัวแล้ว
วัดหนองบัวเป็นวัดไทลื้อเก่าแก่ เดิมอยู่ริมหนองบัวท้ายหมู่บ้าน ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2145 จึงย้ายมาอยู่บริเวณนี้ กรมศิลปากรประกาศให้เป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2538 เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมไทลื้อ และภายในยังมีจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว
บริเวณภายนอกที่ร่มรื่นไปด้วยต้นลำไยอายุกว่าร้อยปี ปรากฏมอส เฟิน กล้วยไม้ปกคลุมลำต้นอย่างสวยงาม จะมองเห็นสิงห์ปูนปั้นสองตัวยืนอยู่หน้าวิหาร ซึ่งเป็นวิหารปูน หลังคาทรงจั่วลดสองชั้น แต่ละชั้นมีผืนหลังคาสองตับ บริเวณหน้าบันหรือหน้าแหนบ ซึ่งเป็นแผ่นไม้กรุปิดโครงหลังคา ด้านล่างตกแต่งด้วยไม้แกะสลักรูปดอกลอย ลวดลายดั้งเดิมของไทลื้อ ส่วนด้านบนเป็นปะกนลูกฟัก ตกแต่งลายดอกประจำยามติดกระจกสี
บริเวณหลังคาประดับปูนปั้นรูปสัตว์ บนสุดมีรูปปูนปั้นตัวนกหัสดีลิงค์ ซึ่งเป็นสัตว์หิมพานต์ที่มีหัวเป็นช้างหางเป็นหงส์ เป็นพาหนะของผู้มีบุญ แทนช่อฟ้าของภาคกลาง ต่ำลงมาเป็นรูปนาคแต่ทรงปากงุ้มคล้ายนก บริเวณหางหงส์ทำเป็นรูปเศียรนาคมีลำตัวทอดยาวขึ้นไปจนถึงสันหลังคา น่าชม
ลักษณะนี้ยังปรากฏอยู่บนช่อฟ้า หลังคา และหน้าบันโบสถ์ขนาดเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง บริเวณหน้าบันเป็นลวดลายพรรณพฤกษาแกะจากไม้อย่างสวยงาม โดยปกติแล้วโบสถ์ในภาคเหนือจะเปิดใช้เฉพาะทำการอุปสมบท และไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไป บางแห่งไม่อนุญาตให้ฆราวาสเข้าไปด้วย (เหตุใดจึงห้ามผู้หญิงเข้าศาสนสถาน..อ่านได้ที่นี่)
ส่วนวิหารนั้นเปิดให้ใช้ทำพิธีกรรมทางศาสนาได้ตลอด
ภายในวิหารวัดหนองบัว ประดิษฐานพระประธานศิลปะล้านนา สีทองอร่าม ด้านข้างซ้ายมีธรรมมาสน์ไม้เก่าแก่ บริเวณด้านหลังมีภาพวาดอดีตพระพุทธเจ้า ส่วนผนังอีกสามด้านนั้นมีภาพจิตรกรรมเขียนอยู่เต็มโดยรอบ นักวิชาการสันนิษฐานว่าเขียนโดย “หนานบัวผัน” ซึ่งเมื่อเขียนภาพที่วัดนี้สำเร็จแล้ว ต่อมาจึงได้ไปเขียนภาพ “ปู่ม่านย่าม่าน” และภาพ จิตรกรรมอื่นๆ ที่วัดภูมินทร์ในตัวจังหวัด
การชมจิตรกรรมฝาผนังให้สนุกนั้น ต้องรู้จัก “เรื่องราว” และแง่มุมที่แอบแฝงอยู่ในภาพเขียน ซึ่งจะสะท้อนทั้งภาพวิถีชีวิต ภูมิปัญญา สังคม วัฒนธรรมในขณะนั้นๆ
สำหรับภาพในวัดหนองบัวนั้น จะวาดเป็นพุทธประวัติและชาดก แต่พระพุทธประวัติมีที่โดดเด่นงดงามมาก อยู่บริเวณด้านบนของผนังด้านตะวันออกเหนือประตูทางเข้า เป็นภาพพระอินทร์มาดีดพิณสามสายถวายพระพุทธเจ้า สื่อว่าสายที่ตึงเกินไปย่อมขาด หย่อนเกินไปย่อมไร้เสียง สายที่ขึงตึงพอดีเท่านั้นจึงบรรเลงเพลงได้ไพเราะ พระพุทธองค์สดับดังนั้นจึงเกิดพระโพธิญาณ ตระหนักถึงทางสายกลาง ยุติการบำเพ็ญทุกรกิริยา และตรัสรู้ในกาลต่อมา
ส่วนชาดกนั้นเป็นเรื่อง “จันทคาธ” เป็นชาดกในหนังสือ ปัญญาสชาดก ปัจฉิมภาค คนเหนือเรียกว่า ค่าวธรรมจันทคาธปูจี่ เป็นเรื่องยาว มีรัก โศก สนุกสนาน นิยมสอนให้ลูกหลานเอาแบบอย่าง มีทั้งความกตัญญูกตเวที ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์สุจริต จนถึงการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ภาพเริ่มจากบริเวณผนังด้านซ้ายพระประธาน ซึ่งลบเลือนพอสมควร เล่าเรื่องเมืองจัมปากนครที่เกิดทุพภิกขภัย ในเมืองมี เด็กชายสองคน หนึ่งเกิดในยามอาทิตย์ดับ หนึ่งเกิดยามราหูอมจันทร์ จึงได้ชื่อว่า สุริยคาธกับจันทคาธ สองพี่น้องยากจน วันหนึ่งจับปูมาได้สี่ตัว พี่ชายนำปูมาจี่ (ย่าง) ให้น้องกินไปตัวหนึ่ง น้องไม่อิ่ม จึงแอบกินปูหมดไปทั้งสี่ตัว พอพ่อแม่มาทราบเรื่อง เกิดโมโห จึงไล่ตี หนีระหกระเหินมาถึงกลางป่า
พระอินทร์กับวิษณุกรรมเทพบุตร จึงจำแลงร่างเป็น งูกัดกับพังพอน เมื่อฝ่ายหนึ่งตายก็นำสมุนไพรมาพ่นใส่ ก็ฟื้นขึ้นมาสู้กันต่อได้ สุริยคาธ เห็นดังนั้นจึงเก็บยาวิเศษไว้ จากนั้นได้รอนแรมมาถึงเมืองกาสี พระราชธิดาเมืองกาสีชื่อนางสุชาตดึงสาถูกงูกัดตาย สุริยคาธอาสาแก้ไขจนนางฟื้น และได้อภิเษกกับนางและครองเมืองกาสีสืบมา
ส่วนจันทคาธก็ได้เดินทางต่อและได้ช่วยเหลือผู้คนอีกมากมายจนไปถึงเมืองอินทปัตถ์ โดยปรากฏภาพอยู่ บริเวณผนังด้านทิศตะวันออกด้านล่างภาพเขียนพระพุทธเจ้าตรงข้ามกับพระประธาน เมื่อจันทคาธเดินทางไปถึงเมืองอินทปัตถ์ ได้รักษานางเทวธิสังกา พระราชธิดาซึ่งตายเพราะโดนเขี้ยวเสือ (ภาพบริเวณนี้ลบเลือนไปมากแล้ว) ต่อมาจันทคาธคิดถึงบิดามารดา จึงประทับเรือสำเภาพร้อมพระชายาจะไปยังเมืองกาสี แต่โดนพายุเรือแตกพัดพรากจากกัน
นางเทวธิสังกาถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง แล้วเดินผ่านป่าจนไปเจอกับนางปริสุทธิที่บ้านป่าแห่งหนึ่ง จึงได้ขออาศัยอยู่ด้วย
ฝ่ายจันทคาธ เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว ก็พยายามตามหานางเทวธิสังกา ระหว่างทางได้ช่วยฟื้นชีวิตพญานาค และวิทยาธร ได้รับของวิเศษหลายอย่าง
ในผนังเดียวกันนี้ ยังมีภาพที่จันทคาธหลังจากรอนแรมไปหลายเมือง ก็ได้กลับมาพบกันนางเทวธิสังกาและอยู่ครองรักกันสืบมา
ซึ่งลักษณะของภาพเขียนนี้ จะสลับเรื่องไปมาไม่ได้เรียงรายเป็นเส้นตรง แต่หมุนวนกลับมาตามผนังด้านต่างๆ โดยผนังด้านทิศใต้ฝั่งขวาของพระประธาน จะต้องชมบริเวณกลางผนัง เป็นตอนต่อจากที่จันทคาธได้รับของวิเศษแล้ว ก็รอนแรมมาถึงแถบเมืองสังกัสนคร ได้ช่วยบุตรีเศรษฐี ๓ นางซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน คือ นางทิพโสดา ปทุมบุผผา และสุคันธเกศี โดยรอนแรมกลางป่ามาจนถึงในเมืองสังกัสนคร บิดาเศรษฐีก็ได้ยกลูกสาวทั้งสามให้อยู่ด้วยนางทั้งสามเพียงคนละเจ็ดวัน จันทคาธก็ขอออกไปตามหานางเทวธิสังกาต่อ จนได้พบกับนางพรหมจารี ที่ถูกพระสุทัสสนจักร สวามีลอยแพมา เนื่องจากพระสุทัสสนจักร ได้ยินถึงความงดงามของนางเทวธิสังกาจึงลอยแพนางพรหมจารีเสีย และเตรียมตัวไปนำนางเทวธิสังกามาเป็นมเหสี แต่นางออกบวชเป็นชี พระสุทัสสจักรจึงรอว่าหากนางสึกออกมาจะมารับตัวไป
จันทคาธจึงช่วยนางพรหมจารี ไปศึกษาวิชาการต่อสู้ และไตรเวท จากนางสุริยโยธาซึ่งเป็นมารดาเลี้ยงของนางพรหมจารี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะล้างแค้นพระสุทัสนนจักร จนสำเร็จและกลับมายังเมืองอนุราธะ ซึ่งขณะเดียวกันนั้นท้าววากาวินทะแห่งเมืองเวสาลี ได้ขอนางจากพระเจ้าธัมมขันตี พระบิดาของนางพรหมจารี แต่ทรงทราบเรื่องจากนางที่ถูกลอยแพและได้รับการช่วยเหลือจากจันทคาธ จึงจัดการอภิเษกสมรสให้
ต่อมาท้าวกาวิทนะจัดกองทัพมารบกับนางพรหมจารี โดยความช่วยเหลือจากจันทคาธ นางจึงแต่งกองทัพหญิงบริวารออกไปรบจนได้รับชัยชนะ
จันทคาธจึงขอเดินทางไปตามหานางเทวธิสังกา จนพบกันและเดินทางไปช่วยนางพรหมจารีรบกับ ท้าวสุทัสสนจักร ก็ได้รบแพ้นางพรหมจารี ถูกนางบังคับให้ตักน้ำล้างเท้า กับขนอุจจาระ ปัสสาวะ ของนาง และให้กราบเท้านางพรหมจารีทุกๆ วัน เพียงสามวัน สุทัสสนจักรก็ทนไม่ไหวตายไป
ต่อจากนี้ยังมีเรื่องราวอีกพอสมควร จนถึงชั้นลูกของจันทคาธ แต่ไม่ได้เขียนภาพไว้ ตัวละครเหล่านี้เมื่อกลับชาติมาเกิด ที่สำคัญคือ จันทคาธคือพระสมณโคดม นางเทวธิสังกา คือนางยโสธราพิมพา พระสุริยคาธคือพระสารีบุตร สุทัสสนจักรคือพระเทวทัตต์
ที่ตั้ง ต. ป่าคา อ. ท่าวังผา จ.น่าน
เปิด วิหารเปิดให้ชมทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-17.00 น.
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
คนสายรักษ์โลกจะถูกใจกับร้านนี้ “Less Plastic Able” ร้านรีฟีลล์เล็กๆ ย่านฝั่งธน-วงเวียนใหญ่ ที่สามารถนำภาชนะอย่างขวดพลาสติกใช้แล้วมาบรรจุผลิตภัณฑ์ที่เลือกซื้อจากร้านได้อ
ยามสายอันเงียบสงบ วันที่แสงแดดโดนบดบังโดยหมู่เมฆครึ้ม ฉันนั่งทอดกายอยู่ที่มาหาสมุทร บูติลโฮมสเตย์ ริมแม่น้ำประแส จังหวัดระยอง สัมผัสได้ถึงสายลมพัดเอื่อยๆ ส่งเสียงดังหวิดหวิว สายตามองลงไปเห็นขาของตัวเองกำลังกวัดแกว่งอยู่เหนือแม่น้ำประแส เหลือบเห็นเจ้าปลาเสือพ่นน้ำแหวกว่ายไปกับฝูงเพื่อน เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างกายขึ้นมาปิดเสียง เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติที่ริมแม่น้ำ
จากผลไม้ป่าชนิดหนึ่งที่มีรูปทรงกลมเปลือกแข็งก้านยาวซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในจังหวัดยโสธร
“ตูมกา” กลายมาเป็นพืชผลอันสำคัญสำหรับการนำมาทำไฟตูมกา เพื่อจุดเป็นพุทธบูชาในงานเทศกาลออกพรรษาจังหวัดยโสธร
อับ อับ … อับ อับ เสียงกบร้อง เมื่อถึงต้นฤดูฝน นอกจากจะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นทำนาแล้วยังเป็นสัญญาณบอกฤดูกาลอาหารพื้นบ้านจานเด็ดของชาวสุรินทร์กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเต็มงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยผนึกกำลังพันธมิตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยกทัพ Soft Power ของไทยเสนอแก่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ
สู่การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมตอกย้ำแบรนด์ Amazing Thailand ควบคู่กับแนวคิด Responsible Tourism ฉายภาพมิติใหม่ของท่องเที่ยวไทยที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์ Amazing Experience อันเปี่ยมด้วยคุณค่า และความหมายในทุกช่วงเวลา
นางสาวปาริชาติ บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า การจัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566”
ตามแคมเปญ “Visit Thailand Year 2023, Amazing New Chapters” โดย ททท. มุ่งมั่น กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังประเทศไทย เพื่อค้นพบมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
เชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมพลัง เติมความหมายบทใหม่ของชีวิต ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว รวมถึง Soft Power of Thailand และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
สำหรับหมุดหมายสุดท้ายของงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ the Southern Forecourt, Overseas Passenger Terminal, Circular Quay West ใจกลางนครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยได้รับความร่วมมือจากทีมประเทศไทย ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานพันธมิตร ผนึกกำลังออกแบบประสบการณ์ Amazing Experience ของประเทศไทยผ่านพลังแห่ง Soft Power มานำเสนอให้ชาวออสเตรเลียสัมผัสอย่างใกล้ชิด
พิธีเปิดงาน “Amazing Thailand Fest 2023 in Sydney” ในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ได้รับเกียรติจาก นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรีเลีย นางสาวสุกัญญา สิริกาญจนากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. นางสาวปาริชาต บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ททท. ร่วมเปิดงาน ภายในงาน ททท. เนรมิตบรรยากาศแห่งความรื่นเริงภายใต้ธีมงานเทศกาลประเพณีไทย F-Festival ประดับด้วยธงราว ตุง โคม และกระทงหลากสี พร้อมจัดพื้นที่จำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดดเด่น เช่น หาดทรายและชายทะเลไทย ก่อนจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวผ่าน
Soft Power ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค อาทิ รำไทย
สี่ภาค โขน โนรา เซิ้งอีสาน รำกลองยาว และการแสดงสุดพิเศษศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทย F-Fight มรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีส่วนร่วมลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโซนสาธิต ภายใต้แนวคิด Responsible Tourism นำเสนอกิจกรรมทำกระเป๋าสานจากขยะอวนทะเล จาก จ.กระบี่ และกิจกรรมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นของที่ระลึกจาก จ. ภูเก็ต รวมทั้งกิจกรรมสาธิตทางวัฒนธรรม ได้แก่ การวาดร่ม การเพ้นท์หน้ากากผีตาโขน และ F-Fashion เชิญชวนผู้เข้าร่วมงานแบ่งปันและโพสต์ประชาสัมพันธ์งาน Amazing Thailand Fest 2023 บนโซเชียลมีเดีย เพื่อรับของที่ระลึกกางเกงช้างแฟชั่นยอดฮิตของไทย
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ การนำเสนอวัฒนธรรมอาหาร F-Food กับ 8 บูธร้านอาหารไทยในซิดนีย์
จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มต้นตำรับไทย ประกอบด้วย ร้านชาติไทย (หมูพวง ส้มตำ ปากหม้อ ลาบไก่ ไส้กรอก
ไก่ย่างไม้) ร้าน Dodee Paidang Haymarket (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง ปาท่องโก๋ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด ไก่ทอด) ร้าน Thai Riffic Express (ผัดไทย โรตี ทาโก้ สะเต๊ะ) ร้าน Show Neua (ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริก ข้าวซอย น้ำเงี้ยว ขนมจีน
แกงปู) ร้านพริกไทย (ผัดผักรวมเม็ดมะม่วง มัสมั่นเนื้อ ขาหมู แกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ผัดซีอิ๊ว) ร้าน Tawandang @ George St (ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว) ร้าน Sabuy Express (ทุเรียน ขนุน ส้มโอ สับปะรด) ร้าน Top Class (มะพร้าว)
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบูธผู้ประกอบการพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมสาธิตเพ้นท์หน้ากากรูปสัตว์, สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (Thai Trade) ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมชิมผลไม้ไทย, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา จัดกิจกรรมชิมเนื้อเป็ดปรุงสุกซึ่งมีการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในออสเตรเลียเป็นครั้งแรก, สายการบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย และต่อยอดแนวคิด Responsible Tourism เสนอเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ 20 เส้นทาง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาด “BOOK NOW, GET 80 AUS NOW” จัดโปรโมชั่นจองที่พักที่ส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยภายในงาน ผ่านเว็บไซต์ agoda รับส่วนลด 80 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราคา 2,000 บาท) ทั้งนี้ การจัดงานยังคง DNA ของ ททท. ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้พลาสติก เลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ย่อยสลายได้ มีการวางระบบการคัดแยกขยะ และตระหนักถึงการใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกจากนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest Media Briefing” ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ Watersedge at Campbell’s Stores, the Rocks นครซิดนีย์ โดยเชิญพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนในพื้นที่ จำนวน 40 ราย ร่วมอัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย รวมถึงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย และต่อยอดจัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest to Fam Trip Australia to Thailand” นำคณะสื่อมวลชน influencers bloggers จากเครือรัฐออสเตรเลีย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ Amazing Experience ทดสอบสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทย ใน 3 จุดหมายปลายทางหลัก ได้แก่ มาสัมผัส กรุงเทพฯ เชียงราย และกาญจนบุรี- สมุทรสงคราม ระหว่างวันที่ 20 – 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีนัยยะสำคัญต่ออัตราการเติบโตของตลาดระยะใกล้ จากสถิติปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียแล้วกว่า 336,688 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเดินทางเข้าไทย
385,100 คน เทียบเท่าร้อยละ 85 ของสถิติในปี 2562 และจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับ ได้แก่กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) พัทยา (ชลบุรี) และกระบี่ ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials
/ Gen Y Digital nomad Family และ Health-conscious รวมทั้ง เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ตระหนักถึงการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สอดคล้องกับกลยุทธ์พลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเข้าเที่ยวไทย 522,000 ภายในสิ้นปีนี้
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
วันหยุดอย่ารอช้า ถ้าคิดไม่ออกว่าจะไปไหน ไปเดินตลาดสุขใจกับ “นายรอบรู้” กันดีกว่า เพราะที่นี่เขามีทีเด็ดซ่อนอยู่มากมายทำให้ใครหลายคนช็อปเพลินจนลืมเวลากันเลยทีเดียว
วันนี้ นายรอบรู้ จึงอยากพาเพื่อนๆ เข้าถึงงานไหว้ครูมวยไทยโลก กับ 5 เรื่อง น่ารู้จากงานไหว้ครูมวยไทยโลก ครั้งที่ 15 กัน
ไม่นานมานี้แอบได้ยินคุณลุงขายก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยโม้ใหญ่ว่า สมัยยังเป็นหนุ่มไฟแรง จีบสาวสยามใจกลางเมือง มีสถานที่หนึ่งที่ต้องพาหญิงสาวไปเดทแรกที่นี่ เท่านั้นยังไม่พอ เวลามีครอบครัวแล้วก็ต้องพาลูก ๆ ไปเที่ยวอีกเช่นกัน สถานที่แห่งนั้นคือ “เขาดิน”
© 2018 All rights Reserved.