“เพราะประโยคนี้แหละถึงตัดสินใจซื้อ มาลองฝึกอยู่ถึงสองปี ถึงจะจับทางได้ พอเริ่มเล่นเป็นเท่านั้นแหละก็พาไปออกงานที่ร้านอาหาร ตอนนั้นมีลูกค้าในร้านสนใจแซกโซโฟนไม้ไผ่กันใหญ่ บางคนสั่งซื้อเลยนะ กะจะให้ผมทำออกมาขาย ก็เลยเริ่มศึกษาเรียนรู้แล้วก็ทำออกมาได้ในที่สุด กว่าจะรู้เคล็ดลับ ให้เสียงเป่ามันเพราะนี่ก็เล่นเอาเหนื่อยเลย”
เขาเล่าย้อนความมาไกลจนผมลืมว่าเคยถามอะไรไว้
“ส่วนเรื่องที่ผมได้เล่นแซกโซโฟนไม้ไผ่ถวายสมเด็จพระเทพฯ ก็เพราะว่าพอทำขายด้วยตัวเอง ถือเป็นคนแรกในประเทศ มีรายการติดต่อเข้ามาจำนวนมาก แต่ที่คนอื่นๆ ได้รู้จักชื่อ ต้องขอขอบคุณอาจารย์สมศักดิ์ วงษ์ปัญญาถาวร ที่ช่วยต่อยอด เพราะน้องสาวของอาจารย์เป็นบรรณาธิการนิตยสารดิฉัน พอเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ชื่อเสียงก็ไปเข้าหูของอาจารย์รำเพย จากกระทรวงอุตสาหกรรม อาจารย์เสนอให้ลุงมาเล่นแซกโซโฟนไม้ไผ่ถวายสมเด็จพระเทพฯ
ที่งานกาชาด และให้ทูลเกล้าฯถวายแซกโซโฟนไม้ไผ่ให้สมเด็จพระเทพฯ หนึ่งตัว นับเป็นความภาคภูมิใจหาที่สุดมิได้ในชีวิตเลยนะ”
คุณวิบูลย์เล่าจบก็พนมมือขึ้นเหนือหัว
“เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนจากสำนักพระราชวังติดต่อให้ลุงทำแซกโซโฟนไม้ไผ่ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่ลุงปฏิเสธไป”
“แล้วไม่เสียดายเหรอครับ”
“ไม่เลย…กลับมาคิดถึงวันนั้นก็ไม่เสียดาย ไม่อาจเอื้อมเข้าเฝ้าฯ พระองค์ด้วย” เขาตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เพราะการทำแซกโซโฟนไม้ไผ่จะต้องใช้ปากเป่าเพื่อปรับเสียงโน้ตทุกตัว และผมก็ไม่ได้มีความรู้ด้านดนตรีมากนัก โน้ตก็อ่านไม่ได้ เพลงพระราชนิพนธ์ที่เล่นใช้แค่ความจำเท่านั้น จึงมิบังอาจจะเข้าเฝ้าฯพระองค์ มิบังอาจจะใช้ปากตัวเองเป่าเครื่องที่ต้องทูลเกล้าฯ ถวาย
“…มิบังอาจจริงๆ ผมจึงปฏิเสธโอกาสนั้นไป”
การได้รับโอกาสในวันนั้นเป็นดั่งแสงตะวันในชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของ วิบูลย์ ตั้งยืนยง เขาฝากข้อความให้พวกเราเป็นสะพานถึงคนไทยทุกคนว่า ขอให้ทุกคนรักและใส่ใจดนตรี เพราะดนตรีสร้างความสุขให้กับชีวิต
ความรู้และภูมิปัญญานี้ ใครสนใจอยากเรียนรู้การทำแซกโซโฟนไม้ไผ่ ให้มาหาได้ เขาจะสอนให้ฟรี…เพราะดนตรีคือของขวัญอันล้ำค่าจากพ่อ