ผ้าซิ่นไทลื้อ
ชาวไทลื้อมีการแต่งกายที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หญิงไทลื้อจะต้องทอผ้า และเย็บปักเสื้อผ้าไว้ใช้เอง ผู้หญิงจะโพกผ้าขาว นุ่งซิ่น สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม และใส่สไบ ส่วนชายนิยมเสื้อสีเปิด (สีอ่อน,สีขาว) หรือสีดำ ใส่กางเกงขาก๊วย
ผ้าทอของชาวไทลื้อที่โดดเด่น คือ ผ้าซิ่นทอไทลื้อโบราณ ซึ่งแบ่งโครงสร้างเป็นจำนวน 3 ส่วน ได้แก่
1. ส่วนหัวซิ่น นิยมใช้ผ้าฝ้าย โดยทั่วไปกว้างประมาณ 1 คืบ ชาวไทลื้อเชื่อว่า “ขวัญ” จะติดอยู่ที่หัวซิ่น เวลาเปลี่ยนซิ่นผืนใหม่จะถอดหัวซิ่นผืนเดิมมาเย็บต่อกับซิ่นผืนใหม่เพื่อให้ขวัญอยู่กับตัวเหมือนเดิม
2. ส่วนตัวซิ่น เปรียบเหมือนส่วนกลางของลำตัวของคน เป็นส่วนแสดงเทคนิคต่างๆ ในการออกแบบ
3. ส่วนตีนซิ่น นิยมนำผ้าฝ้ายสีเข้มมาต่อกันเป็นผ้าผืนหรือเป็นตีนซิ่นรูปแบบต่างๆ
ลายของผ้าซิ่นเล่าถึงเรื่องราวการอพยพย้ายถิ่นฐานของชาวไทลื้อสิบสองปันนามาอาศัยอยู่บริเวณจังหวัดน่าน สิ่งที่พบเจอระหว่างการเดินทาง เกิดเป็นจินตนาการบนผืนผ้า
ลายเถาวัลย์ ลายผักกูด บ่งบอกถึงอาหารที่เก็บกินตามทางเพื่อประทังชีวิต ลายเขี้ยวหมาป่า เป็นสัตว์ที่พบเจอ ลายจันทร์ดาว เปรียบเสมือนดวงจันทร์ และดวงดาวที่คอยให้แสงสว่างในยามค่ำคืน หรือลายตาแหลว และลายสักของผู้ชายสื่อถึงการคุ้มภัยอันตราย จากสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นต้น
ส่วนของตีนซิ่นมีลายบัวลอย คือดอกบัวที่ใช้ถวายพระ แม้ความเชื่อเดิมจะนับถือผี แต่เมื่อรับพุทธศาสนาเข้ามาชาวไทลื้อก็ผสมผสานทั้งสองความเชื่อไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน
ลายกาบ และลายหยดน้ำ บ่งบอกถึงสิ่งที่ชาวไทลื้ออาศัยอยู่ กาบคือ กาบไม้ เป็นสัญลักษณ์ของป่าไม้ หยดน้ำคือสัญลักษณ์ของแม่น้ำ เมื่อทั้งสองอย่างมารวมอยู่ด้วยกันแล้วจึงแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ แม่น้ำ ลำธาร
ส่วนสุดท้ายคือ ลายสะเปาหรือหางสะเปา คือเรือสำเภา ที่เชื่อว่าพาหนะเดินทางสู่โลกหน้า และยังหมายถึงความรู้ ความรุ่งเรือง ในทุกส่วนของตัวผ้าอีกด้วย