ภาคปฏิบัติเป็นการลงมือนวด การออกแรงในส่วนต่างๆ ส่วนภาคทฤษฎีคือการเรียนรู้เกี่ยวกับธาตุลมและแนวเส้นต่างๆ ของร่างกาย โดยการนวดของวัดโพธิ์เป็นการนวดเพื่อความผ่อนคลายและรักษาโรคกล้ามเนื้อต่างๆ
“พี่กบ-จุฬาลักษณ์ พรหมมานอก” หมอนวดวัดโพธิ์วัย 37 ปี ที่ลาออกจากการเป็นพยาบาลเพื่อมาเป็นหมอนวดถึง 15 ปี เล่าให้เราฟังว่า
“ตอนนั้นพี่มีโอกาสได้ช่วยกายภาพผู้ป่วยด้วยการนวดแล้วเขามีอาการดีขึ้น พี่จึงตัดสินใจเรียนนวดอย่างจริงจัง เพราะพี่รู้สึกได้ว่าพี่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น”
ภูมิปัญญาด้านการนวดแผนไทยฉบับวัดโพธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังมาเนิ่นนาน เป็นที่จับตามองของคนทั่วโลก เพราะพี่กบเล่าว่าในปีหนึ่งๆ มีชาวต่างชาติมาเรียนนวดสูตรวัดโพธิ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งราคาค่าเรียนแต่ละหลักสูตรก็ไม่ธรรมดา มีตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักแสนก็มี นอกจากนี้การนวดวัดโพธิ์ยังถูกบรรจุเข้าไปในหลักสูตรการเรียนบางสาขาของมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกหลายๆ ที่อีกด้วย
นอกจากการนวดแล้ววัดโพธิ์ยังโด่งดังในเรื่องของ “ฤๅษีดัดตน” ถึงแม้จะเป็นคนละแบบแผนกัน แต่ท่าฤๅษีดัดตนก็ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปร่างท่าทางที่ดูเหมือนคนปกติจะทำไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เทียบท่าเหล่านี้แล้วจะมีความคล้ายกับการเล่นโยคะในสมัยปัจจุบัน ฤๅษีดัดตนถูกจารึกไว้ในตำรามากถึง 80 ท่า ซึ่งแต่ละท่าจะใช้สำหรับแก้อาการผิดปกติในร่างกายที่แตกต่างกันไปแต่ละจุด ทั้งปวดเมื่อย ขับลม แก้ไข้ แก้อาการต่างๆ รวมไปถึงแก้เครียดด้วย
พี่กบยังกล่าวเสริมกับเราอีกว่า
“ไม่อยากให้ดูถูกอาชีพหมอนวดเพียงเพราะมีความเชื่อที่ผิดๆ เพราะหมอนวดไม่เพียงจะต้องรักในการนวด แต่ยังต้องรักในการที่ได้ดูแลรักษาผู้อื่นอีกด้วย หมอนวดทุกคนไม่ใช่ว่าอยากเป็นแล้วตื่นมาจะได้เป็นกันง่ายๆ เพราะต้องผ่านการเรียนการฝึกฝนมาก่อน