อีกคำถามที่ผมอยากจะรู้ก็คือ อะไรทำให้ท่าเตียนพิเศษกว่าชุมชนอื่นๆ เพราะถ้ามองแล้วท่าเตียนอาจดูเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในสายตาคนทั่วไป
“ความสามัคคี” คือคำตอบที่สวนกลับมาแบบไม่ได้ตั้งตัวให้คิด
“เพราะชุมชนเรามีความสามัคคีกันมาก เรารู้จักกันและช่วยเหลือกันหมด ไม่เคยทิ้งกัน เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ลูกหลานก็วิ่งเล่นกันอยู่ในตลาด เหมือนครอบครัวกันหมดนี่แหละ” คำพูดที่ดูจะเกินจริง แต่หากลองนึกดูแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมา ลุงคุ้งทักทายพ่อค้าแม่ขาย ลูกเด็กเล็กแดงในท่าเตียนเหมือนคนในบ้านจริงๆ บ้างก็กล่าวทักทาย บ้างก็มีแซวเล่น บ้างก็ถามสารทุกข์สุกดิบ
ลุงคุ้งเล่าถึงความสามัคคีในชุมชนว่า ครั้งหนึ่งวัดโพธิ์เคยมีปัญหาหนักมากถึงขั้นไม่มีเงินเข้าวัด ชาวบ้านก็ช่วยกันดูแลวัดคนละไม้คนละมือ เพราะทุกคนก็อยู่วัดนี้เห็นวัดนี้กันมาตลอด เป็นเหมือนวัดคู่ชุมชน ไม่มีใครอยากเสียวัดไป
ครั้งที่ท่าเตียนเคยเกิดไฟไหม้ ไม่มีใครในชุมชนหนีเอาตัวเองรอดมาก่อนเลย ทุกคนช่วยกันแบกของ ช่วยกันดูแลเด็กและคนแก่ ช่วยกันดับไฟและเรียกรถดับเพลิง เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีคนในชุมชนท่าเตียนต้องสูญเสียอะไรเพราะช่วยกัน
หรือครั้งที่องค์เจ้าพ่อสัสดีเกิดหายไป แต่ไม่ได้หายจากอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ มีโจรอุ้มเจ้าพ่อหายไปจากศาลในตลาดเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านในชุมชนท่าเตียนกำลังจะร่วมกันสร้างเจ้าพ่อองค์ใหม่มาแทนแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีคนไปเจอเจ้าพ่อสัสดีองค์จริงวางปล่อยให้เช่าอยู่ จึงรวมเงินกันในชุมชนแล้วเช่าเจ้าพ่อสัสดีให้กลับมาอยู่ที่ศาลกลางในตลาดเหมือนเดิม
แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ผมได้รู้จักกับลุงคุ้งผู้เต็มใจบอกเล่าเรื่องราวอันน่าประทับใจของท่าเตียน
เรื่องราวที่คนรุ่นใหม่อย่างเราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน จนอาจถูกลืมไปพร้อมกับสายน้ำแห่งกาลเวลา
ผมมั่นใจว่าหากมีคนอย่างผมอีกร้อยพันมาเจอลุงคุ้ง ลุงก็จะเล่าเรื่องท่าเตียนให้ทุกคนได้รับรู้ถึงชุมชนที่มีความเป็นมาอันน่าภาคภูมิใจอย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย