นายมะสุกรีกล่าวว่า “เรามีแหล่งวัตถุดิบที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ พูดถึงปลากุเลา เรามักจะนึกถึงอำเภอตากใบแต่ที่จริงตากใบก็เอาวัตถุดิบจากเราไปแปรรูป 70 % ปลาที่ตากใบ คือปลากุเลาจากบ้านเรา เลยมาคิดว่าแล้วทำไมเราไม่เพิ่มมูลค่าของเราเอง ประกอบกับส่วนหนึ่งเรามีองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัย ทำงานวิจัยท้องถิ่น ไปสืบค้นไปเรียนรู้ว่า ในแต่ละชุมชนเขามีการแปรรูปสัตว์นํ้าอะไรบ้างและทำอย่างไร ภูมิปัญญาเหล่านี้ช่วยเพิ่มราคาสัตว์นํ้าได้ อาหารทะเลสดที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ ปลาอินทรีย์สด ปลาอินทรีย์ที่ได้จากเครื่องมือตกเบ็ดเครื่องมืออวนปลาอินทรีย์ และเบ็ดราว เรามีปลาอินทรีย์ ปลาเก๋า ช่อนทะเล สากเหลือง อีโต้มอญ ปลาโอ ปลากะพงขาว การที่เรารวมตัวลักษณะแบบนี้ ทำธุรกิจตรงนี้ เพื่อพยายามสร้างมาตรฐานราคาให้เป็นธรรมกับชาวบ้าน เพราะอย่างน้อยที่สุดชาวประมงพื้นบ้าน คือกลุ่มคนที่จับสัตว์นํ้าอย่างรับผิดชอบ เขาน่าจะได้รับสิ่งดีๆจากสิ่งที่เขาทำสิ่งที่เขาเคยถูกปลูกฝังการฟื้นฟูขึ้นมา เขาน่าจะได้ผลตอบแทน อีกประการที่เราคิดทำตรงนี้ คือเราไม่ได้ส่งปลาอินทรีย์ หรือ ปลากุเลาไปอย่างเดียวแต่เราส่งปลาไปพร้อมกับเรื่องราว story ลูกค้าสามารถบอกได้ว่าปลาอินทรีย์ที่ปัตตานีกว่าจะได้มานั้น ชาวประมงต้องเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับปลาอินทรีย์บ้าง ต้องเรียนรู้นิสัยของปลาอินทรีย์ว่าเป็นอย่างไร การหากินของปลาอินทรีย์เป็นเช่นไรเครื่องมือที่ใช้เพื่อที่จะจับปลาอินทรีย์ใช้เครื่องมือใดชาวประมงจับเฉพาะตัวใหญ่ ถ้าเป็นตัวเล็กเขาจะปล่อยไปเพื่อให้ปลาโตขึ้นมา เขาทำประมงแบบรับผิดชอบ เรื่องราวเหล่านี้อยากจะสื่อสารให้กับสังคมภายนอกได้รับรู้ด้วย เขากินปลาเขาคิดถึงชาวประมง ยามใดที่เราเจอปัญหาเรื่องของประมงขึ้นมาเขาจะนึกถึงพวกเรา มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเราในอนาคต”
ปัจจุบันชาวบ้านรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายชุมชนประมงพื้นบ้านจำนวน 52 หมู่บ้าน มีเรือกว่า2,900 ลำ ชาวประมงกว่า 83,000 คน รองรับการประกอบวิสาหกิจชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการท้องถิ่นและภาครัฐในการยกระดับสินค้าเพิ่มมูลค่าพร้อมสร้างมาตรฐานในการผลิต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประมงแปรรูป แต่ไม่ทิ้งภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม คือเมื่อได้ปลาสดๆ จากทะเล ก็จะแขวนปลาให้สะเด็ดนํ้า นวดเนื้อปลาเพื่อความนุ่ม ละเอียดเป็นเนื้อเดียว ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ถูกบ่มเพาะทักษะและความชำนาญจากรุ่นสู่รุ่นจวบจนปัจจุบัน…