
ททท. จัดงาน “วิจิตร 5 ภาค @กรุงเทพมหานคร”
เริ่มแล้ว! ททท. จัดเต็มแสง เสียง กับงาน “วิจิตร 5 ภาค @กรุงเทพมหานคร” ดึงเทคโนโลยีล้ำสมัย
สะท้อนศิลปะและความเชื่อคนไทย ใน 3 พื้นที่แลนด์มาร์ก กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2325 พระองค์ได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองจากธนบุรีข้ามมายังฝั่งตะวันออกหรือฝั่งที่ตั้งพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน การสร้างพระนครแห่งใหม่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2328 พระราชทานนามเมืองใหม่ว่า “กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ฯ” ในสมัยรัชกาลที่ 4 ปรับเป็น “กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ” กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการปกครองและศูนย์กลางความเจริญมาจนปัจจุบัน
กรุงเทพมหานครมีอาณาเขตทางบกติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนอาณาเขตทางทะเลอ่าวไทยตอนใน ติดต่อจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดชลบุรี โดยมีรายละเอียดดังนี้
ทิศเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดปทุมธานี
ทิศตะวันออก มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทิศใต้ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสมุทรปราการและอ่าวไทย (ส่วนที่เป็นอ่าวไทยที่เป็นพื้นที่เดิมของจังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือเขตบางขุนเทียน ซึ่งมีอาณาเขตทางทะเลติดต่อทางอ่าวไทยกับจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ จุดที่อยู่ใต้สุดอยู่ที่ละติจูด 13 องศา 13 ลิปดา 00 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา 27 ลิปดา 30 ฟิลิปดาตะวันออก ซึ่งเป็นการแบ่งตามพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502)
ทิศตะวันตก มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดนครปฐม
ตราประจำจังหวัด
พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ที่ตั้ง : อยู่บน ถ. หน้าพระลานเขตพระนคร
เป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางของฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายพุทธจักรรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายแบบผังพระราชวังหลวงในกรุงศรีอยุธยามาใช้มีพื้นที่ทั้งหมด 152 ไร่ 2 งานแบ่งออกเป็นสามส่วน คือพระราชฐานชั้นนอก เป็นที่ตั้งของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และหน่วยงานราชการรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามหลวงหรือวัดประจำวังขึ้น คือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเขตพระราชฐานเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนา มักเรียกกันว่า วัดพระแก้ว เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตหรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วัดพระแก้วไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา พระราชฐานชั้นกลาง เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และใช้ประกอบพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกและพระราชฐานชั้นใน เป็นที่ประทับของพระมเหสีเจ้าจอม และพระราชธิดาส่วนพระราชฐานชั้นกลางนั้นมีพระที่นั่งที่น่าสนใจ เช่น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นที่เก็บพระอัฐิของพระมเหสีและพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ และเป็นสถานที่รับรองทูตานุทูตจากต่างแดนที่มาเข้าเฝ้า พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพของกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นที่ประดิษฐานพระสยามเทวาธิราช เป็นต้น
วัดอรุณราชวรราม (วัดแจ้ง)
ที่ตั้ง : อยู่บน ถ. อรุณอัมรินทร์ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่
เป็นวัดเก่าแก่มีมาแต่ครั้งอยุธยา เดิมชื่อวัดมะกอกนอก ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นวัดในพระราชวังของพระองค์ที่เรียกว่าพระราชวังเดิม วัดอรุณฯ ได้รับการบูรณะมาโดยตลอด โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้เสริมองค์ปรางค์เดิมให้สูงใหญ่มั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นมหาธาตุสำหรับพระนคร ทว่ามาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 3
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ที่ตั้ง : อยู่ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ถ. หน้าพระธาตุ เขตพระนคร
เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังหน้าในเขตพิพิธภัณฑ์มีพระที่นั่งหลายองค์ แต่ละพระที่นั่งจัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ เช่น พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จัดแสดงเรื่องราวยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และเครื่องราชบรรณาการที่กษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ทรงได้รับมา พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ซึ่งอัญเชิญมาจากเชียงใหม่ พระที่นั่งพิมุขมณเฑียรจัดแสดงเครื่องราชยานและคานหามพระที่นั่งทักษิณาภิมุข จัดแสดงเครื่องการละเล่นต่างๆ เช่น หุ่น หัวโขน หนังใหญ่ เครื่องแต่งกายละคร ฯลฯ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ จัดแสดงเครื่องราชูปโภค พระพุทธรูป พระพิมพ์ต่างๆ
วัดบวรนิเวศวิหาร
ที่ตั้ง : อยู่บน ถ. พระสุเมรุแขวงบางลำพู เขตพระนคร
กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2367-2375 ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระอนุชาคือเจ้าฟ้ามงกุฎ (หรือรัชกาลที่ 4) ซึ่งยังทรงผนวชอยู่ มาจำพรรษา ณ วัดนี้ และเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ดังเช่นปัจจุบัน ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดพระศรีรัตมหาธาตุ จ. พิษณุโลก และหลวงพ่อโตหรือพระพุทธสุวรรณเขตจากวัดสระตะพาน จ. เพชรบุรี และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือภาพจิตรกรรมผลงานของขรัวอินโข่ง ศิลปินชั้นยอดสมัยรัชกาลที่ 4
เริ่มแล้ว! ททท. จัดเต็มแสง เสียง กับงาน “วิจิตร 5 ภาค @กรุงเทพมหานคร” ดึงเทคโนโลยีล้ำสมัย
สะท้อนศิลปะและความเชื่อคนไทย ใน 3 พื้นที่แลนด์มาร์ก กรุงเทพมหานคร
เพราะ “ชาดก” ที่เราเคยได้ยินได้ฟังมานั้น คือนิทานหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่เต็มไปด้วยคำสอนโดยเล่าผ่านตัวอักษร รวมถึงการพูดต่อๆ กันมา “นายรอบรู้” อยากชวนทุกคนไปชม “ชาดก” ที่เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่ต่างออกไป กับ “นิทรรศการศิลปะ ชาดก” เป็นนิทรรศการเดี่ยว ครั้งที่ 8 ของวีรพงษ์ ศรีตระกูลกิจการ หรือที่รู้จักกันว่า “อายิโน๊ะ”
สำหรับงานวัดบางยี่ขันจัดขึ้นทุกปีในช่วงวันมาฆบูชา เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ภายในคึกคักไปด้วยเครื่องเล่น อาหารการกิน เด็กในชุมชนวิ่งเล่นกันสนุกสนาน มีทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตาของเด็กที่งอแงจะเอาของเล่น เป็นสีสันของงานวัดกับเด็กน้อยที่ไม่เคยเลือนหายไปไหน
จากคนสู้ชีวิตที่ทำงานรับจ้างตามร้านอาหารกว่า 20 ปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเริ่มสร้างกิจการด้วยการเปิดร้านอาหาร ทั้งลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานจนมาเป็นร้านสมศักดิ์ปูอบที่มีคิวยาวเหยียด สมศักดิ์ ศรีแก้วฟ้าทอง หรือเฮียสมศักดิ์ ขายหอยแครงลวกและหอยแมลงภู่อบมาตั้งแต่ปี 2528 ตั้งร้านเป็นรถเข็นริมทาง มีโต๊ะให้นั่งแค่สองโต๊ะเท่านั้น พอขายดีมีทุนก็ทยอยซื้อโต๊ะเพิ่ม และเริ่มขายปูอบวุ้นเส้น และกุ้งอบวุ้นเส้น เคล็ดลับที่ทำให้ขายดิบขายดีคือความมานะและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ด้วยเน้นแต่ของดีมีคุณภาพ ปูทะเลทั้งปูเนื้อและปูไข่ทางร้านสั่งปูเป็นๆ จากมหาชัยวันต่อวัน ทุกตัวกล้ามแน่น เนื้อสด รสหวาน ส่วนกุ้งอบวุ้นเส้นก็ใช้กุลาดำบิ๊กไซต์ “สี่ตัวโล” อบทีละหม้อ วุ้นเส้นสั่งพิเศษโดยเน้นส่วนผสมของถั่วเขียวมากกว่าแป้ง จึงเหนียวนุ่ม เมื่อผสมกับน้ำปรุงและน้ำมันหอยสูตรเฉพาะได้รสเข้มข้นจนอยากเลียให้เกลี้ยงหม้อเลยละ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดที่โขลกพริกกระเทียมบีบมะนาวสดใหม่ทุกวันและน้ำจิ้มถั่วรสหวาน
แม้จะเป็นร้านรถเข็นดูบ้านๆ ไม่ได้โด่งดังมีชื่อในวงกว้าง แต่ก็จอดขายส้มตำอยู่ข้างธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำพู มานานกว่า 25 ปี ลูกค้าในละแวกต่างรู้จักกันดีแถมการันตีว่า อร่อย ถูก คุณภาพคับจาน พี่ใจ-อุทุมพร สาวอีสานมหาสารคาม เคยคว้ารางวัลชนะเลิศจากการเข้าร่วมแข่งขัน “สูตรเด็ดส้มตำ” ของทางช่อง 3 สูตรเด็ดอยู่ที่การเลือกใช้พริกถึงสามชนิด ทั้งพริกแห้ง พริกขี้หนู และพริกกะเหรี่ยง ส่วนปลาร้าก็ต้มสุกปรุงรสด้วยกะปิจนกลมกล่อมหอมฉุย ที่ขาดไม่ได้คือมะนาว ไม่ว่าจะถูกจะแพงพี่ใจก็ใช้มะนาวสดเท่านั้น เมนูห้ามพลาดคือตำผลไม้ ตำข้าวโพดไข่เค็ม ตำปลาร้าหมูยอ ตำซั่ว ตำลาว และไม่ว่าจะสั่งตำอะไร
จากซัวเถาโล้สำเภามาแบบเสื่อผืนหมอนใบ บุ้นแซ แซ่ลิ้ม เจ้าของสูตรลูกชิ้นปลาเต้นได้ ส่งไม้ต่อมายังรุ่นลูกคือตั่ว-พรพิมล บริบูรณ์ชัยศิริ ที่ยังคงรักษาคุณภาพและเคล็ดลับการทำลูกชิ้นปลาให้เนื้อแน่น กรอบ เด้งราวเต้นได้ กว่า 68 ปี ในตรอกเล็กๆ บนถนนทรงวาด ร้านลิ้มเล่าซาคึกคักไปด้วยลูกค้าขาประจำ บ้างอุดหนุนมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จนตอนนี้หอบลูกจูงหลานมากินด้วย รสชาติกลมกล่อมคงเส้นคงวาทำให้กูรูนักชิมจากหลายสำนักต่างแวะเวียนมาให้รางวัลการันตีความอร่อย จนล่าสุดได้รางวัล ‘Michelin Bib gourmand ปี 2019’ ทีเด็ดอยู่ที่ลูกชิ้นปลาทำใหม่สดทุกวัน เลือกใช้เฉพาะปลาดาบยาวและปลาหางเหลือง ขูดเอาแต่เนื้อแล้วผสมเข้าด้วยกัน บด นวด ให้เป็นเนื้อเดียวจนได้ลูกชิ้นปลาแท้
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเต็มงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยผนึกกำลังพันธมิตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยกทัพ Soft Power ของไทยเสนอแก่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ
สู่การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมตอกย้ำแบรนด์ Amazing Thailand ควบคู่กับแนวคิด Responsible Tourism ฉายภาพมิติใหม่ของท่องเที่ยวไทยที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์ Amazing Experience อันเปี่ยมด้วยคุณค่า และความหมายในทุกช่วงเวลา
นางสาวปาริชาติ บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า การจัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566”
ตามแคมเปญ “Visit Thailand Year 2023, Amazing New Chapters” โดย ททท. มุ่งมั่น กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังประเทศไทย เพื่อค้นพบมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
เชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมพลัง เติมความหมายบทใหม่ของชีวิต ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว รวมถึง Soft Power of Thailand และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
สำหรับหมุดหมายสุดท้ายของงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ the Southern Forecourt, Overseas Passenger Terminal, Circular Quay West ใจกลางนครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยได้รับความร่วมมือจากทีมประเทศไทย ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานพันธมิตร ผนึกกำลังออกแบบประสบการณ์ Amazing Experience ของประเทศไทยผ่านพลังแห่ง Soft Power มานำเสนอให้ชาวออสเตรเลียสัมผัสอย่างใกล้ชิด
พิธีเปิดงาน “Amazing Thailand Fest 2023 in Sydney” ในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ได้รับเกียรติจาก นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรีเลีย นางสาวสุกัญญา สิริกาญจนากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. นางสาวปาริชาต บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ททท. ร่วมเปิดงาน ภายในงาน ททท. เนรมิตบรรยากาศแห่งความรื่นเริงภายใต้ธีมงานเทศกาลประเพณีไทย F-Festival ประดับด้วยธงราว ตุง โคม และกระทงหลากสี พร้อมจัดพื้นที่จำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดดเด่น เช่น หาดทรายและชายทะเลไทย ก่อนจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวผ่าน
Soft Power ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค อาทิ รำไทย
สี่ภาค โขน โนรา เซิ้งอีสาน รำกลองยาว และการแสดงสุดพิเศษศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทย F-Fight มรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีส่วนร่วมลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโซนสาธิต ภายใต้แนวคิด Responsible Tourism นำเสนอกิจกรรมทำกระเป๋าสานจากขยะอวนทะเล จาก จ.กระบี่ และกิจกรรมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นของที่ระลึกจาก จ. ภูเก็ต รวมทั้งกิจกรรมสาธิตทางวัฒนธรรม ได้แก่ การวาดร่ม การเพ้นท์หน้ากากผีตาโขน และ F-Fashion เชิญชวนผู้เข้าร่วมงานแบ่งปันและโพสต์ประชาสัมพันธ์งาน Amazing Thailand Fest 2023 บนโซเชียลมีเดีย เพื่อรับของที่ระลึกกางเกงช้างแฟชั่นยอดฮิตของไทย
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ การนำเสนอวัฒนธรรมอาหาร F-Food กับ 8 บูธร้านอาหารไทยในซิดนีย์
จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มต้นตำรับไทย ประกอบด้วย ร้านชาติไทย (หมูพวง ส้มตำ ปากหม้อ ลาบไก่ ไส้กรอก
ไก่ย่างไม้) ร้าน Dodee Paidang Haymarket (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง ปาท่องโก๋ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด ไก่ทอด) ร้าน Thai Riffic Express (ผัดไทย โรตี ทาโก้ สะเต๊ะ) ร้าน Show Neua (ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริก ข้าวซอย น้ำเงี้ยว ขนมจีน
แกงปู) ร้านพริกไทย (ผัดผักรวมเม็ดมะม่วง มัสมั่นเนื้อ ขาหมู แกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ผัดซีอิ๊ว) ร้าน Tawandang @ George St (ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว) ร้าน Sabuy Express (ทุเรียน ขนุน ส้มโอ สับปะรด) ร้าน Top Class (มะพร้าว)
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบูธผู้ประกอบการพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมสาธิตเพ้นท์หน้ากากรูปสัตว์, สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (Thai Trade) ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมชิมผลไม้ไทย, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา จัดกิจกรรมชิมเนื้อเป็ดปรุงสุกซึ่งมีการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในออสเตรเลียเป็นครั้งแรก, สายการบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย และต่อยอดแนวคิด Responsible Tourism เสนอเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ 20 เส้นทาง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาด “BOOK NOW, GET 80 AUS NOW” จัดโปรโมชั่นจองที่พักที่ส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยภายในงาน ผ่านเว็บไซต์ agoda รับส่วนลด 80 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราคา 2,000 บาท) ทั้งนี้ การจัดงานยังคง DNA ของ ททท. ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้พลาสติก เลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ย่อยสลายได้ มีการวางระบบการคัดแยกขยะ และตระหนักถึงการใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกจากนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest Media Briefing” ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ Watersedge at Campbell’s Stores, the Rocks นครซิดนีย์ โดยเชิญพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนในพื้นที่ จำนวน 40 ราย ร่วมอัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย รวมถึงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย และต่อยอดจัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest to Fam Trip Australia to Thailand” นำคณะสื่อมวลชน influencers bloggers จากเครือรัฐออสเตรเลีย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ Amazing Experience ทดสอบสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทย ใน 3 จุดหมายปลายทางหลัก ได้แก่ มาสัมผัส กรุงเทพฯ เชียงราย และกาญจนบุรี- สมุทรสงคราม ระหว่างวันที่ 20 – 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีนัยยะสำคัญต่ออัตราการเติบโตของตลาดระยะใกล้ จากสถิติปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียแล้วกว่า 336,688 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเดินทางเข้าไทย
385,100 คน เทียบเท่าร้อยละ 85 ของสถิติในปี 2562 และจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับ ได้แก่กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) พัทยา (ชลบุรี) และกระบี่ ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials
/ Gen Y Digital nomad Family และ Health-conscious รวมทั้ง เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ตระหนักถึงการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สอดคล้องกับกลยุทธ์พลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเข้าเที่ยวไทย 522,000 ภายในสิ้นปีนี้
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
ส่งท้ายเดือนกุมพาพันธ์ ที่มีวันแสนพิเศษถึง 2 วัน สำหรับผู้มีความรัก กุมภาพันธ์คงเป็นเดือนที่ดีของคุณและคู่ครอง ที่จะได้ฉลองให้กับความรักที่ผลิบาน สำหรับพุทธศาสนิกชน ภุมภาพันธ์ยังมีวันสำคัญอย่าง วันมาฆบูชา ที่ชาวพุทธจะแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และทำนุบำรุงดูแลศาสนา
ร้านอาหารมังสวิรัติโฮมเมดของ Mrs. Sukesh หญิงชาวอินเดียผู้ชื่นชอบการเล่นโยคะและกินอาหารมังสวิรัติมาตั้งแต่เกิด เธอจึงเปิดบ้านเป็นร้านมังสวิรัติโฮมเมดควบคู่กับเปิดคอร์สสอนโยคะและสอนทำเมนูเพื่อสุขภาพ
พักใจกันอย่างเต็มอิ่ม กับ Workshop #Parkใจ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ณ สวนวชิรเบญจทัศ (จตุจักร) มีผู้เข้าร่วม Parkใจ ที่ผ่านการคัดเลือกร่วม 20 คน
เริ่มแล้ว! ททท. จัดเต็มแสง เสียง กับงาน “วิจิตร 5 ภาค @กรุงเทพมหานคร” ดึงเทคโนโลยีล้ำสมัย
สะท้อนศิลปะและความเชื่อคนไทย ใน 3 พื้นที่แลนด์มาร์ก กรุงเทพมหานคร
© 2018 All rights Reserved.