ภายในบริเวณของร้าน มีว่านตดหมาขึ้นประปราย ลักษณะเป็นไม้เถาเล็ก ๆ ลามเลียไปตามพื้นดินที่แห้งเกรียม ลักษณะของใบคล้ายใบหอก ปลายใบแหลมเรียว โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบและเป็นสีเขียวถึงเขียวเข้ม มีกิ่งอ่อน มีก้านเป็นช่อดอก และผลมีขนสั้น ๆ ขึ้นคลุมอยู่หนาแน่น
ถึงแม้จะสามารถนำว่านตดหมามาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนก็ตาม แต่ส่วนที่สำราญเลือกทำเป็นขนม ก็คือส่วนรากที่ฝั่งอยู่ใต้ดิน เนื่องจากเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ขนาดใหญ่เท่าหัวแม่โป้งเท้า) จึงง่ายต่อการนำมาบดให้ละเอียด และที่สำคัญ ก็คือจะได้น้ำเยอะกว่าส่วนที่เป็นเถาอยู่มาก
สำราญอธิบายต่อว่า คนท้องถิ่นเรียกว่านตดหมาเป็นภาษาเขมรว่า “เวือรพอม” (เวือน–ระ–พอม) พบได้ทั่วไปในพื้นที่รกร้าง ในป่าธรรมชาติ โดยเฉพาะตามป่าผสมผลัดใบ และป่าเต็งรัง
ด้วยความที่เป็นไม้เถาขนาดเล็ก มีกลิ่นเหม็น เมื่อนำไปบดขยี้จนแหลกละเอียด จะมีกลิ่นเหม็นเขียวโชยคละคลุ้งออกมา แต่ใครจะเชื่อว่า ชาวบ้านในเขตพื้นที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ สามารถนำไม้เถาชนิดนี้ มาแปรรูปให้เป็นขนมปิ้ง ที่มีกลิ่นหอมฉุน เย้ายวนชวนให้รับประทาน มาเป็นเวลายาวนานนับชั่วอายุคนแล้ว