ที่มาของคำกระซิบรักบันลือโลก ในภาพปู่ม่านย่าม่าน
ภาพชายหนุ่มสักขาดำลาย ป้องปากกระซิบคำกับหญิงสาวที่สวมชุดแต่งกายแบบพม่า หรืออาจเป็นไทใหญ่ บริเวณริมประตูด้านทิศตะวันตก มีอักษรล้านนาโบราณกำกับไว้ลางๆ ว่า “ปู่ม่านย่าม่าน”
อ. สมเจตน์ วิมลเกษม อดีตอาจารย์โรงเรียนสตรีศรีน่าน อธิบายภาพนี้ในบทความ “ภาษาล้านนา : อักษรศาสตร์ที่ปรากฎในภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ ว่า
“คำว่าม่านนั้น ภาษาล้านนาใช้เรียกดินแดนพม่าและชาวพม่า และบางทียังใช้เรียกชาวไทใหญ่ในที่ราบสูฉาน ในเขตพม่า หรือ “ม่าน” ส่วนคำว่า “ปู่” และ “ย่า” ในภาษาถิ่นล้านนามิได้หมายถึงผู้เฒ่าผู้แก่เสมอไป ในบางบริบทก็เป็นคำสรรพนามเรียกชายหญิง ดังนั้นคำนี้อาจหมายถึง หนุ่มม่านสาวม่านก็ได้”
ครั้งหนึ่งท่านเคยเอ่ยคำค่าวโบราณให้ธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดี ฟังว่า
“คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม จะเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอ๊กในใจ๋ตัวจายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะอิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา..” แปลว่า ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาไปฝากในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้านภากาศ ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุม จะเอาไปฝากในวังในคุ้มเจ้าหลวง ก็กล้วเจ้านายจะมาเจอะเจอแล้วแย่งไป เลยขอเอามาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้กระซิกกระซี้ถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”
ธีรภาพจึงนำวลีเก่าที่ อ. วินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่านเคยอ้างถึงภาพนี้ไว้ว่า ชื่อภาพ กระซิบบันลือโลก มารวมกับคำว่ารัก กลายเป็น “กระซิบรักบันลือโลก” โดยนำไปตั้งเป็นชื่อบทความ “ยลยอดจิตรกรรมโรมานซ์ล้านนา อดัม–อีวา ณ น่าน” ในนิตยสาร Travel Guide ในปี 2553
จากนั้นทั้งวลี “กระซิบรักบันลือโลก” และคำค่าวโวหารชมสาวแบบ “นารีปราโมทย์” จึงค่อยๆ ซึมซาบลงไปในใจผู้คนที่มาเยี่ยมเยือน กลายเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของเมืองน่านไป