
ห้ามผู้หญิงเข้า (ศาสนสถาน) ทำไม?
เคยไหม เวลาไปเที่ยววัด หรือศาสนสถาน โดยเฉพาะในภาคเหนือ จะมีป้ายติดว่า ห้ามผู้หญิงเข้า…เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น วันนี้ นายรอบรู้ มีเรื่องราวมาบอก
ใครที่มาเที่ยวเมืองน่าน นอกเหนือจากความงดงามของธรรมชาติ หรือการมากราบพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำปีเกิดของคนปีเถาะแล้ว อีกแห่งทีเปรียบดังอัญมณีค่าควรเมือง ก็คือการได้มากราบพระประธานสี่ทิศ พร้อมทั้งยลจิตรกรรมฝาผนัง ฝีมือช่างเมืองน่านที่เชื่อกันว่ามีเพียงสองแห่งคือที่ วัดหนองบัว อ. ท่าวังผา และที่วัดภูมินทร์ กลางข่วงเมืองน่านแห่งนี้
ตามหลักฐานพงศาวดารเมืองน่านระบุว่า เดิมวัดนี้ชื่อวัดพรหมมินทร์ สร้างโดยเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ในปี พ.ศ. 2139 โดยสร้างเป็นอาคารจัตรุมุข ประดิษฐานพระประธานสี่องค์ โดยหมายถึงพรหมวิหารสี่ สมดังพระนามของพระองค์ กาลต่อมาจึงค่อยๆ เพื่อนเป็นชื่อวัดภูมินทร์
ปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ. 2410 เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน เห็นว่าอาคารทรุดโทรมไปมาก จึงทำการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ทั้งยังให้หนานบัวผัน ซึ่งเป็นจิตรกรผู้วาดภาพฝาผนังวัดหนองบัว มาวาดภาพที่วัดภูมินทร์นี้ด้วย ทั้งการบูรณะและวาดภาพเพิ่มเติมนี้ใช้เวลาถึง 8 ปี จึงแล้วเสร็จ
อาคารที่มีมุขหลังคายื่นออกมาสี่ด้านนี้ สันนิษฐานว่าเป็นวิหารทรงจัตรุมุขหลังแรกของประเทศ มีนาคคู่คอยหนุนรองรับ หัวนาคอยู่ด้านเหนือ ปรากฏหางทางด้านใต้ ส่วนนี้ถือเป็นพระอุโบสถ ส่วนทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกถือเป็นพระวิหาร ความงามโดดเด่นนี้ทำให้รัฐบาลไทยในสมัยรัชกาลที่ 8 นำรูปวิหารไปตีพิมพ์ลงบนธนบัตรใบละ 1 บาท
บริเวณหน้าบันเป็นรูปพรรณพฤกษา เปรียบประดุจป่าหิมพานต์ เมื่อเดินเข้าไปในวิหารก็เปรียบดังเดินขึ้นเขาพระสุเมรุ ผ่านบานประตูที่มีรูปพระเวสสุวัณแผลงฤทธิ์ เข้าไปจะพบพระประธานปางมารวิชัยขนาดใหญ่สี่องค์หันพระปฤษฎางค์ (หลัง) ชนกัน หันหน้าไปยังทิศทั้งสี่ มีผู้สันนิษฐานว่าหมายถึงอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสี่ที่ตรัสรู้แล้วในภัทรกัป ด้านหลังเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง สูงขึ้นไปจรดเพดานหากออกไปมองดูจากภายนอกจะเห็นยอดเจดีย์เป็นเหมือนพระพุทธรูปอยู่ทั้งสี่ทิศ มีฉัตรห้าชั้นกางอยู่ด้านบนสุด
บริเวณเสายังมีการประดับปูนปั้น ลงรักปิดทองประดับกระจก บริเวณเพดานมีลวดลายประดิษฐ์อย่างวิจิตร ผนังโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเต็มทั้งสี่ทิศ
จิตรกรรมฝาผนังนี้ วาดเต็มผนังทุกด้านบริเวณด้านบนเหนือประตูของทุกด้าน เขียนเป็นภาพพุทธประวัติขนาดใหญ่ เกือบเท่าตัวคน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของช่างเขียนท่านนี้ สามด้านจะเป็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัย ล้อมรอบด้วยอัครสาวก ส่วนด้านตะวันตกจะเป็นปางไสยาสน์ ปรินิพพาน
ที่น่าสนใจคือ ด้านทิศเหนือจะมีภาพวาดแม่ชี นั่งอ่านหนังสือ มีแมวอยู่ด้านข้าง หรือภาพพระกำลังสอนหนังสือเณร ช่วงวาดให้มีขนาดใหญ่เกือบเท่าคนจริง ซึ่งภาพลักษณะเดียวกันนี้ ก็ปรากฏอยู่ที่วัดหนองบัว เช่นกัน ส่วนด้านล่างจะวาดเป็นชาดกเรื่อง คัทธนกุมารชาดก
เรื่องราวของพระโพธิสัตว์ ที่เสวยชาติเป็นหนุ่มน้อย ผู้เดินทางช่วยเหลือสรรพสัตว์ ภาพเริ่มจากทางผนังด้านซ้ายของทิศเหนือ เล่าเรื่องหญิงม่ายผู้มีใจอารีอาศัยในเมืองศรีษะเกษ เมื่อพระโพธิสัตว์จะมาสั่งสมบุญบารมียังโลก พระอินทร์จึงแปลงร่างเป็นพญาช้างเผือกมาเหยียบย่ำนาข้าวของนางจนเสียหาย นางตามรอยเท้าช้างไปจนเหนื่อย ก้มลงกินน้ำในรอยเท้า ทำให้ตั้งครรภ์ คลอดออกมาพร้อมดาบวิเศษสรีกัญไชย จึงได้ชื่อว่า “คัทธนกุมาร” และมีกำลังแข็งแรง เมื่ออายุได้ 16 ปีได้ช่วยมารดาจากนางยักษ์ในป่าจนได้ทองคำ และน้ำทิพย์ จนเจ้าเมืองได้ยินคำร่ำลือถึงความเก่งกาจ จึงโปรดให้เป็นอุปราช กุมารจึงนำน้ำทิพย์มาโปรยใส่แม่ จนกลับมาเป็นหญิงงามอีกครั้ง และถวายให้เป็นอัครมเหสี
ต่อมาด้วยความคิดถึงบิดา จึงออกเดินทางเพื่อตามหา ได้พบกับ ชายที่มีกำลังลากไผ่ร้อยกอ และชายที่มีกำลังลากเกวียนร้อยเล่ม เจ้าคัทธนกุมาร เอาชนะจนได้สองชายไผ่ร้อยกอ และชายร้อยเล่มเกวียนมาเป็นผู้ติดตาม ไปจนถึงเมือง อินทปัตนคร ได้ปราบจิ้งกุ่ง (จิ้งหรีด)ยักษ์ ได้ของวิเศษคือ ไม้เท้าต้นชี้ตายปลายชี้เป็น และพิณสามสาย ซึ่งดีดแล้วจะให้คนมาสวามิภักด์ ขับไล่ศัตรู หรือเรียกหาอาหารได้
ผนังด้านทิศตะวันออกเป็นเรื่องการเดินทางไปถึงเมืองขวางทะบุรี ช่วยเจ้าหญิงกลองสี จากฝูงงูยักษ์ ที่มีทำร้ายชาวเมืองเนื่องจากไม่อยู่ในศีลในธรรม เมื่อรบชนะและฟื้นคืนชีพชาวเมืองแล้ว จึงให้ชายไผ่ร้อยกอครองเมืองกับนางกลองสี ด้านขวาเป็นอีกเมืองชวาทวดี ช่วยเจ้าหญิงคำสิงในหอกลอง และปราบนกแร้ง เหยี่ยว ยักษ์ และให้ชายร้อยเล่มเกวียนครองเมือง
ผนังด้านทิศใต้เล่าเรื่องเมื่อถึงเมืองจำปานคร ได้พบรักกับนางสีไว ลูกสาวเศรษฐีมีบุตรด้วยกันสองคน คือ คัทธเนตร และคัทธจัน
ด้วยการประกอบกรรมดีหลายอย่างในที่สุด พระอินทร์จึงแปลงร่างเป็นพญาช้างเผือกมาพบกับคัทธนกุมาร โดยแกล้งป่วยตาย และมอบงาวิเศษให้ แต่คัทธนหลงอุบายเจ้าเมืองตักศิลา เอาไม้เท้าชี้ตัวเองตาย ลูกสองคนได้ข่าวโดยคัทธจันผู้น้องออกมาตามหาบิดาได้ฆ่าเจ้าเมืองตักศิลาและได้งาช้างคืนมา แต่คัทธเนตรเกิดริษยาน้องอยากได้งาช้างกิ่งหนึ่ง จึงเกิดการรบรากันขึ้น จนพระอินทร์ต้องสั่งให้ขุนแถนสร้าง “ลมพิชฌขอด” (ลมที่คมกล้าดังมีดโกน พ่วงด้วยกระดึงหลวง มีเสียงดังดุจฟ้าผ่าแสนครั้ง) ตัดพระศอคัทธเนตรจนสิ้นพระชนม์ คัทธนจันได้ครองชมพูทวีป เป็นจักรพรรดิราชทรงทศพิธราชธรรมสืบมา
ชาดกเรื่องนี้ สอนลูกหลานชาวน่าน ให้มีความพยายาม ตั้งใจทำความดี มีความเสียสละ กตัญญู และช่วยเหลือผู้อื่น
โดยตัวละครสำคัญที่กลับชาติมาเกิด เช่น เจ้าเมืองศรีษะเกษ คือพระสุโทธนะ หญิงม่าย คือพระนางสิริมหามายา พระเจ้าคัทธนะ กลับชาติมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ชายไผ่ร้อยกอคือพระสารีบุตร ชายเกวียนร้อยเล่มคือพระโมคคัลลานะ คัทธจันคือพระราหุล คัทธเนตรคือพระเทวทัต เป็นต้น
ส่วนผนังด้านทิศตะวันตก เป็นเรื่อง เนมีราชชาดก ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี พระอินทร์ทรงอัญเชิญให้ไปโปรดปวงเทวดาบนสวรรค์ โดยให้พระมาตุลีนำเวชยันตราชรถมารับ บนสวรรค์มีทั้งต้นปาริชาติ และพระธาตุเกตแก้วจุฬามณี รวมถึงทรงลงไปโปรดปวงคนบาปในนรก เป็นการสอนให้คนหมั่นทำความดีละเว้นความชั่ว
ในจำนวนภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ นอกเหนือจากภาพขนาดเล็ก ที่เขียนเป็นเรื่องชาดกแล้ว ยังมีภาพขนาดใหญ่ อีกจำนวนหนึ่งตามด้านข้างของกรอบประตู หรือบริเวณใกล้เคียงกับภาพพุทธประวัติ อย่างเช่นภาพแม่ชีกำลังให้อาหารแมว หรือพระเณรกำลังอ่านหนังสือบนผนังด้านทิศเหนือ ภาพชายสูงศักดิ์สวมเสื้อครุยสีแดง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นภาพของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านผู้ปฏิสังขรณ์วัดนี้ บนผนังทิศตะวันออก ผนังด้านใต้สองฝั่งประตู เป็นภาพหญิงและชายสูงศักดิ์ ในชุดพื้นเมือง และภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกภาพคือ ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน กระซิบรักอยู่ริมประตูด้านทิศตะวันตก
แต่หลายภาพที่น่าสนใจไม่ควรพลาด ที่ทั้งศิลปิน และผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะ กล่าวยกย่อง อย่างน้อยมี 4 ภาพ ดังนี้
“หญิงม่ายสอนทอผ้า”
ภาพบริเวณผนังทิศเหนือด้านซ้ายนี้ จะเห็นวิถีชีวิตของคนเมืองน่านสอดแทรกอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการคลอดลูก การละเล่น การทำนา โดยเฉพาะกระบวนการทอผ้า ลวดลายผ้าซิ่นที่ปรากฏอยู่ในชุดต่างๆ ของหญิงสาว ยังเป็นผ้าที่ชาวเมืองน่านยังนุ่งกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นซิ่นป้อง หรือซิ่นม่าน โดยเฉพาะภาพนางยักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงกัน จะเป็นว่านางยักษ์นุ่งซิ่นคาดก่าน แทรกด้วยลายป้อง เป็นชั้นๆ
“ต่อบุหรี่ชายตา”
ภาพบริเวณผนังทิศเหนือด้านขวา เป็นภาพชายคนหนึ่งกำลังของต่อบุหรี่กับหญิงสาว โดยฝ่ายชายมีเพื่อนมาด้วยสามคน ช่วยฝ่ายหญิงมีเพื่อนกลุ่มใหญ่อีกหกคนยืนอยู่ด้านหลังด้วยอากัปกิริยาต่างๆ กัน มีหญิงสาวอีกนางหนึ่งกำลังหาบคุน้ำ ภาพนี้งดงามด้วยองค์ประกอบต่างๆ อย่างลงตัว และแฝงเร้นการสักขา ลวดลายของผ้าซิ่นแบบต่างๆ โดยเฉพาะกิริยาการขอต่อบุหรี่ขี้โยในพื้นที่สาธารณะ ก็เปรียบเหมือนการต่อไมตรีซึ่งกันและกัน
ถ้าหญิงสาวไม่มีใจ คงไม่ยินยอมต่อบุหรี่ด้วย ถ้าเป็นในปัจจุบันก็คงเหมือนการเข้าไปขอแลกไลน์ หรือขอเบอร์โทร. กระนั้น
“โมนาลิซาเมืองไทย”
ภาพริมประตูด้านทิศตะวันออก เป็นภาพผู้หญิงขนาดใหญ่เกือบเท่าคนจริง กำลังเกล้าผม เชื่อว่าเป็นภาพของนางสีไว ในคัทธนกุมารชาดก นางแต่งกายแบบผู้มีฐานะ เกล้าผมเสียงดอกไม้แห้ง และปิ่นปัก เจาะหูม้วนแผ่นทอง (แผ่นทองนี้เปรียบเสมือนบัตรประชาชนในปัจจุบัน เพราะจะมีการจารึกวันเดือนปีเกิด และชื่อตนไว้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเจ้านายราชสกุล หรือผู้มีฐานะมั่งคั่ง จึงจัดทำ โดยการตีแผ่นทองให้บางแล้วม้วน ก่อนเจาะใส่แทนต่างหูทั้งชายและหญิง)
ภาพนี้งดงามด้วยการทอดสายตา และรอยยิ้มชวนสงสัย จะมองมุมใดก็งดงาม จนปราชญ์เมืองน่านท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าเป็นดังภาพ “โมนาลิซา” แห่งเมืองเหนือ
“ปู่ม่านย่ามานกระซิบรัก”
ภาพบุคคลขนาดใหญ่ริมประตูด้านทิศตะวันออก ชายหนุ่มเปลือยอกเห็นรอยสักดำตั้งแต่สะดือมาจนถึงโคนขา สมดังคำเรียก ลาวพุงดำ ที่หนุ่มไหนไม่กล้าสักแสดงความกล้าหาญ หญิงสาวมักไม่ชายตามอง ทำท่าเกาะไหล่กระซิบกับหญิงสาวที่นุ่งซิ่นลุนตยา สวมเสื้อคลุมแบบพม่า การเกาะไหล่แบบนี้ในสมัยก่อนบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระดับสามีภรรยา ทั้งแววตา สีหน้า ท่าทาง อากัปกิริยาของทั้งคู่ก็แสดงถึงความรักความผูกพันกัน
ภาพชายหนุ่มสักขาดำลาย ป้องปากกระซิบคำกับหญิงสาวที่สวมชุดแต่งกายแบบพม่า หรืออาจเป็นไทใหญ่ บริเวณริมประตูด้านทิศตะวันตก มีอักษรล้านนาโบราณกำกับไว้ลางๆ ว่า “ปู่ม่านย่าม่าน”
อ. สมเจตน์ วิมลเกษม อดีตอาจารย์โรงเรียนสตรีศรีน่าน อธิบายภาพนี้ในบทความ “ภาษาล้านนา : อักษรศาสตร์ที่ปรากฎในภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ ว่า
“คำว่าม่านนั้น ภาษาล้านนาใช้เรียกดินแดนพม่าและชาวพม่า และบางทียังใช้เรียกชาวไทใหญ่ในที่ราบสูฉาน ในเขตพม่า หรือ “ม่าน” ส่วนคำว่า “ปู่” และ “ย่า” ในภาษาถิ่นล้านนามิได้หมายถึงผู้เฒ่าผู้แก่เสมอไป ในบางบริบทก็เป็นคำสรรพนามเรียกชายหญิง ดังนั้นคำนี้อาจหมายถึง หนุ่มม่านสาวม่านก็ได้”
ครั้งหนึ่งท่านเคยเอ่ยคำค่าวโบราณให้ธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดี ฟังว่า
“คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม จะเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอ๊กในใจ๋ตัวจายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะอิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา..” แปลว่า ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาไปฝากในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้านภากาศ ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุม จะเอาไปฝากในวังในคุ้มเจ้าหลวง ก็กล้วเจ้านายจะมาเจอะเจอแล้วแย่งไป เลยขอเอามาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้กระซิกกระซี้ถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”
ธีรภาพจึงนำวลีเก่าที่ อ. วินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่านเคยอ้างถึงภาพนี้ไว้ว่า ชื่อภาพ กระซิบบันลือโลก มารวมกับคำว่ารัก กลายเป็น “กระซิบรักบันลือโลก” โดยนำไปตั้งเป็นชื่อบทความ “ยลยอดจิตรกรรมโรมานซ์ล้านนา อดัม–อีวา ณ น่าน” ในนิตยสาร Travel Guide ในปี 2553
จากนั้นทั้งวลี “กระซิบรักบันลือโลก” และคำค่าวโวหารชมสาวแบบ “นารีปราโมทย์” จึงค่อยๆ ซึมซาบลงไปในใจผู้คนที่มาเยี่ยมเยือน กลายเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของเมืองน่านไป
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
เคยไหม เวลาไปเที่ยววัด หรือศาสนสถาน โดยเฉพาะในภาคเหนือ จะมีป้ายติดว่า ห้ามผู้หญิงเข้า…เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น วันนี้ นายรอบรู้ มีเรื่องราวมาบอก
โฮงเจ้าฟองคำเป็นบ้านทรงล้านนาที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ปัจจุบันเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ต้องมาแวะชมเพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างน่าประทับใจ นับตั้งแต่เดินเข้าประตูรั้วสู่บริเวณบ้านที่ร่มรื่นมาจนถึงโฮงเจ้าฟองคำ
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “เรามักจะเห็นคุณค่าของบางสิ่งในวันที่เราสูญเสียสิ่งนั้นไป” แต่จะเป็นอย่างไร หากสิ่งนั้นคือศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ
ข้อมูลจังหวัด พะเยา รวบรวมโดย นายรอบรู้นักเดินทาง จากหนังสือท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆ ในเมืองไทย ที่รวมรวมข้อมูลน่ารู้ ที่เที่ยวน่าไป ของกินน่าทาน
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเต็มงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยผนึกกำลังพันธมิตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยกทัพ Soft Power ของไทยเสนอแก่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ
สู่การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมตอกย้ำแบรนด์ Amazing Thailand ควบคู่กับแนวคิด Responsible Tourism ฉายภาพมิติใหม่ของท่องเที่ยวไทยที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์ Amazing Experience อันเปี่ยมด้วยคุณค่า และความหมายในทุกช่วงเวลา
นางสาวปาริชาติ บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า การจัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566”
ตามแคมเปญ “Visit Thailand Year 2023, Amazing New Chapters” โดย ททท. มุ่งมั่น กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังประเทศไทย เพื่อค้นพบมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
เชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมพลัง เติมความหมายบทใหม่ของชีวิต ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว รวมถึง Soft Power of Thailand และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
สำหรับหมุดหมายสุดท้ายของงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ the Southern Forecourt, Overseas Passenger Terminal, Circular Quay West ใจกลางนครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยได้รับความร่วมมือจากทีมประเทศไทย ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานพันธมิตร ผนึกกำลังออกแบบประสบการณ์ Amazing Experience ของประเทศไทยผ่านพลังแห่ง Soft Power มานำเสนอให้ชาวออสเตรเลียสัมผัสอย่างใกล้ชิด
พิธีเปิดงาน “Amazing Thailand Fest 2023 in Sydney” ในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ได้รับเกียรติจาก นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรีเลีย นางสาวสุกัญญา สิริกาญจนากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. นางสาวปาริชาต บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ททท. ร่วมเปิดงาน ภายในงาน ททท. เนรมิตบรรยากาศแห่งความรื่นเริงภายใต้ธีมงานเทศกาลประเพณีไทย F-Festival ประดับด้วยธงราว ตุง โคม และกระทงหลากสี พร้อมจัดพื้นที่จำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดดเด่น เช่น หาดทรายและชายทะเลไทย ก่อนจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวผ่าน
Soft Power ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค อาทิ รำไทย
สี่ภาค โขน โนรา เซิ้งอีสาน รำกลองยาว และการแสดงสุดพิเศษศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทย F-Fight มรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีส่วนร่วมลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโซนสาธิต ภายใต้แนวคิด Responsible Tourism นำเสนอกิจกรรมทำกระเป๋าสานจากขยะอวนทะเล จาก จ.กระบี่ และกิจกรรมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นของที่ระลึกจาก จ. ภูเก็ต รวมทั้งกิจกรรมสาธิตทางวัฒนธรรม ได้แก่ การวาดร่ม การเพ้นท์หน้ากากผีตาโขน และ F-Fashion เชิญชวนผู้เข้าร่วมงานแบ่งปันและโพสต์ประชาสัมพันธ์งาน Amazing Thailand Fest 2023 บนโซเชียลมีเดีย เพื่อรับของที่ระลึกกางเกงช้างแฟชั่นยอดฮิตของไทย
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ การนำเสนอวัฒนธรรมอาหาร F-Food กับ 8 บูธร้านอาหารไทยในซิดนีย์
จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มต้นตำรับไทย ประกอบด้วย ร้านชาติไทย (หมูพวง ส้มตำ ปากหม้อ ลาบไก่ ไส้กรอก
ไก่ย่างไม้) ร้าน Dodee Paidang Haymarket (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง ปาท่องโก๋ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด ไก่ทอด) ร้าน Thai Riffic Express (ผัดไทย โรตี ทาโก้ สะเต๊ะ) ร้าน Show Neua (ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริก ข้าวซอย น้ำเงี้ยว ขนมจีน
แกงปู) ร้านพริกไทย (ผัดผักรวมเม็ดมะม่วง มัสมั่นเนื้อ ขาหมู แกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ผัดซีอิ๊ว) ร้าน Tawandang @ George St (ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว) ร้าน Sabuy Express (ทุเรียน ขนุน ส้มโอ สับปะรด) ร้าน Top Class (มะพร้าว)
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบูธผู้ประกอบการพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมสาธิตเพ้นท์หน้ากากรูปสัตว์, สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (Thai Trade) ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมชิมผลไม้ไทย, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา จัดกิจกรรมชิมเนื้อเป็ดปรุงสุกซึ่งมีการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในออสเตรเลียเป็นครั้งแรก, สายการบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย และต่อยอดแนวคิด Responsible Tourism เสนอเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ 20 เส้นทาง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาด “BOOK NOW, GET 80 AUS NOW” จัดโปรโมชั่นจองที่พักที่ส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยภายในงาน ผ่านเว็บไซต์ agoda รับส่วนลด 80 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราคา 2,000 บาท) ทั้งนี้ การจัดงานยังคง DNA ของ ททท. ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้พลาสติก เลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ย่อยสลายได้ มีการวางระบบการคัดแยกขยะ และตระหนักถึงการใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกจากนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest Media Briefing” ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ Watersedge at Campbell’s Stores, the Rocks นครซิดนีย์ โดยเชิญพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนในพื้นที่ จำนวน 40 ราย ร่วมอัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย รวมถึงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย และต่อยอดจัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest to Fam Trip Australia to Thailand” นำคณะสื่อมวลชน influencers bloggers จากเครือรัฐออสเตรเลีย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ Amazing Experience ทดสอบสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทย ใน 3 จุดหมายปลายทางหลัก ได้แก่ มาสัมผัส กรุงเทพฯ เชียงราย และกาญจนบุรี- สมุทรสงคราม ระหว่างวันที่ 20 – 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีนัยยะสำคัญต่ออัตราการเติบโตของตลาดระยะใกล้ จากสถิติปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียแล้วกว่า 336,688 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเดินทางเข้าไทย
385,100 คน เทียบเท่าร้อยละ 85 ของสถิติในปี 2562 และจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับ ได้แก่กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) พัทยา (ชลบุรี) และกระบี่ ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials
/ Gen Y Digital nomad Family และ Health-conscious รวมทั้ง เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ตระหนักถึงการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สอดคล้องกับกลยุทธ์พลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเข้าเที่ยวไทย 522,000 ภายในสิ้นปีนี้
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
สูตรลับขาหมูของเจ้ติ๋ม บุคคโล คือใส่ใจ “วัตถุดิบ” และ “ความสด สะอาด” มาเป็นอันดับ 1 เจ้ติ๋มรับรองว่าตั้งแต่ปี 2545 ถึงเดี๋ยวนี้ขาหมูที่สั่งมาขาย เลือกเฉพาะที่สด เผาไฟ ขูดล้างเป็นอย่างดี ได้มาแล้วล้างซ้ำอีกหลายครั้งจนมั่นใจว่าสะอาดแน่นอน “จริงๆ ไม่มีสูตรอะไรพิเศษ แค่ปรุงตามรสชาติที่ชอบของเราเอง ก่อนต้มขาหมูก็เลาะมันใต้หนังบางส่วนออก น้ำขาหมูจะได้ไม่มันเกินไป จากนั้นต้มเดือด 2 ชั่วโมง ปรุงรสออกเค็มนำบางๆ ใส่ซีอิ๊วดำนิดหน่อยให้พอสีสวย เมื่อสุกกำลังดีก็อบให้ร้อนระอุ อยู่ในหม้อสแตนเลสใบใหญ่ แล้วตักขาย”
ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นที่ราบที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน หากเปรียบกับกรุงเทพฯ มีขนาดใหญ่กว่าถึง 2 เท่า ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และยโสธร
ในความเป็นจริงเชียงใหม่ก็มีสถานที่น่าปั่นจักรยานเที่ยวหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือเวียงกุมกาม เมืองเก่าก่อนการเกิดของเมืองเชียงใหม่ เวียงกุมกามเป็นพื้นที่ชุมชนที่อยู่คู่กับโบราณสถาน ภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านคู่กับภาพโบราณสถานที่สื่อถึงความรุ่งเรืองในอดีต ใครที่เคยไปเที่ยวเมืองเก่าอย่างอยุธยา สุโขทัย และชอบบรรยากาศประมาณนั้น เวียงกุมกามก็ให้บรรยากาศนั้นเช่นกันแต่ต่างกันที่ตรงที่เวียงกุมกามนั้นร่มรื่นน่าปั่นจักรยานมากกว่า
ใครที่ชื่นชอบอาหารอินเดียคงไม่พลาด Rang Mahal Rooftop Indian Restaurant ห้องอาหารอินเดียในรูปแบบ fine dining บนชั้น 26 ของโรงแรมแรมแบรนดท์ ย่านสุขุมวิท ที่ได้รับรางวัล Thailand’s BestRestaurants จากนิตยสาร Thailand Tatler ถึง 13 ปีซ้อน
© 2018 All rights Reserved.