
สัมผัสสงกรานต์อิสานที่วัดไชยศรี ขอนแก่น
“นายรอบรู้” มีหนึ่งที่มาแนะนำ นอกจากจะได้ไปพักผ่อนในวันหยุดยาวแล้ว ยังจะได้ไปสัมผัสประเพณีที่งดงามของชาวบ้านและได้ไปทำบุญรับวันปีใหม่ไทยอีก แบบนี้มีแต่ได้กับได้เลยหละคุณ…
“ทุกอย่างเริ่มมาจากดิน ก่อเกิดจาก mother of earth ไส้เดือนที่คอยดูแลโลก ถามว่าเราเคยตอบแทนอะไรดิน หรือรู้จักดินที่เรายืนอยู่บ้างมั้ย ยืนอยู่ทุกวันนี้ไม่เคยรู้อะไรเลย เกิดมาทำไม และมีประโยชน์กับใครบ้าง”
สายของวันอาทิตย์หนึ่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีลมพัดผ่านช่วยคลายร้อน เรานั่งพูดคุยกับ คุณชารีย์ บุญญวินิจ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “ลุงรีย์” ชายผู้ไว้หนวดเคราหุ่นหน้ากอดคนนี้เป็นผู้ก่อตั้ง “ลุงรีย์ Farm” ฟาร์มสุดฮิปกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้การเลี้ยงไส้เดือน เพาะเห็ดมิลกี้ ปลูกผักแบบอินทรีย์ รวมถึงการทำเกษตรสมัยใหม่
เราจึงอยากชวนคุณเข้ามาเยี่ยมชมฟาร์มแห่งนี้ดูสักครั้ง อาจได้แรงบันดาลใจในการทำการเกษตรกลับไปบ้างก็เป็นได้
จากเจ้าของบริษัทออกแบบที่รู้สึกปวดหัวกับงานที่ทำ ลุงรีย์จึงผันตัวเองไปเป็นพ่อครัว แต่ก็รู้สึกปวดตัวกับการยืนทำอาหารทั้งวัน และการเป็นพ่อครัวนี้เองที่ทำให้เขาเห็นเศษอาหารเหลือทิ้งจนเกิดคำถามว่า เราจะทำอย่างไรได้บ้างกับเศษอาหารเหล่านี้
ช่วงที่ไปบวชอยู่ 1 ปี ลุงรีย์ได้พบกับพระนักพัฒนาผู้สอนให้รู้จักมูลไส้เดือนและประโยชน์มหาศาลของมัน จึงเริ่มสนใจไส้เดือนมาตั้งแต่นั้น และข้อมูลที่ว่าอาหารของไส้เดือนคือเศษอาหารเหลือๆ ก็ตอบโจทย์พอดีกับการจัดการเศษอาหารเหลือทิ้งที่ลุงรีย์หาคำตอบมานาน
คำถามเรื่องเศษอาหาร กับคำตอบว่าไส้เดือน เมื่อบรรจบกับความตั้งใจอยากอยู่บ้าน ทำกับข้าว ผลิตอาหารกินเอง ลุงรีย์เลยเริ่มเลี้ยงไส้เดือน พอเลี้ยงไปได้ระยะหนึ่งก็เริ่มต่อยอด คิดหาทางทำให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน พร้อมกับตอบตัวเองด้วยว่าเขาทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ได้หรือไม่ จึงเกิดเป็นลุงรีย์ Farm แบบทุกวันนี้
“ลุงรีย์ Farm” พื้นที่เรียนรู้การเกษตรแบบคนเมือง ซ่อนตัวอยู่ใน ซ. เพชรเกษม 46 เขตภาษีเจริญ พื้นที่ไม่ใหญ่มากแต่อัดแน่นด้วยความรู้ที่น่าสนใจมากมาย แถมเปิดให้เข้าเยี่ยมชมทุกวันอาทิตย์ เวลา 10โมงถึงเที่ยง
ทุกสิ่งในฟาร์มเริ่มต้นจากไส้เดือนสามชนิด
ชนิดแรกไส้เดือนพันธุ์แอฟริกัน พาเราไปพบกับปุ๋ยในการปลูกผัก ต่อมาเป็นไส้เดือนพันธุ์ไทเกอร์ หรือพันธุ์ลายเสือ ซึ่งพาไปพบกับการเลี้ยงสัตว์ กล่าวคือเป็นอาหารของทั้งไก่และเป็ด และสุดท้ายไส้เดือนพันธุ์สีน้ำเงิน ที่พาไปพบเห็ด เพราะฮอร์โมนและจุลินทรีย์จากไส้เดือนพันธุ์นี้นำไปเป็นเชื้อเพาะเห็ดมิลกี้ได้
เห็ดมิลกี้ หรือเห็ดหิมาลัย ถือเป็นไฮไลต์หนึ่งของที่นี่ เป็นเห็ดดอกใหญ่ เนื้อหนา ราคากิโลกรัมละนับพันบาท รสชาติก้านเห็ดเหมือนเนื้อไก่ ส่วนดอกรสเหมือนเนื้อหมึก
มาถึงที่นี่เราจึงไม่พลาดชิมเมนู Pizza Homemade ที่โรยด้วยเห็ดมิลกี้ เสริมด้วย Korean Kimji Set ชุดกิมจิที่ทำจากผักในฟาร์มของลุงรีย์ สองเมนูนี้เป็นเมนูชูโรงซึ่งทำให้เห็นว่า เมนูผักก็อร่อยได้ไม่แพ้เนื้อสัตว์จริงๆ
ไม่ไกลจากโซนอาหาร มีโซนขายของให้คนมาเยี่ยมชมฟาร์มได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ ดิน ปุ๋ย มูลไส้เดือน หรือตัวช่วยต่างๆ ในการปลูกต้นไม้ เช่น เม็ดบับเบิ้ลดินอัดเม็ดที่ช่วยเพิ่มออกซิเจนในดิน น้ำหมักจุลินทรีย์ที่ช่วยให้ลุงรีย์เลี้ยงทั้งเป็ด ไก่ และหมูได้โดยไม่ส่งกลิ่นเหม็นใดๆ เลย ทางฟาร์มแบ่งขายตามน้ำหนักที่เราต้องการอีกด้วย
เมื่อลุงรีย์ให้อาหารไส้เดือนด้วยเศษผัก เขาก็ได้มูลไส้เดือนไปปลูกผักกิน พอมีเศษผักก็เอากลับมาเป็นอาหารไส้เดือนอีก วนเป็นห่วงโซ่เกื้อกูลต่อเนื่องกันไป พอปลูกผักได้มากขึ้น ลุงรีย์ก็แบ่งปันให้คนอื่น รวมไปถึงความรู้ในการเลี้ยงไส้เดือนและการเพาะเห็ดด้วย
การก้าวเท้าเข้ามาในลุงรีย์ Farm นอกจากได้เรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ เราจึงได้เห็นแนวคิดการพึ่งพาตัวเองและได้รับพลังของการแบ่งปันไปพร้อมๆ กัน
หลังจากผู้คนที่มาเยี่ยมชมฟาร์มทยอยกลับ เรามีโอกาสพูดคุยกับลุงรีย์อีกเล็กน้อย
ลุงรีย์บอกเล่าถึงประโยชน์ของธรรมชาติอย่างน่านำมาขบคิดต่อว่า
“ให้ลองป่วยหนักๆ แล้วเราลองมาจับดินปลูกผักดูสักครั้ง เราจะรู้ว่าธรรมชาติสามารถช่วยบำบัดเราได้ เรื่องนี้ลุงรีย์ได้จากการพบผู้ป่วยเยอะๆ แล้วทำให้รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันช่วยคนอื่นได้เยอะเลย
“มนุษย์กระโจนหาสีเขียวอยู่เสมอ กระโจนหาดิน กระโจนหาธรรมชาติ จริงๆ เราก็ทำไปตามสัญชาตญาณ แต่เราไม่เคยสังเกตตัวเองเลย ว่าเราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง และในธรรมชาติก็มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ ที่เราอาจยังมองไม่เห็น แต่มันดึงดูดเราได้เสมอ”
เมื่อมองไปรอบๆ ฟาร์ม เราก็ได้เห็นถึงวิธีคิดและสิ่งที่ลุงรีย์ทำ พร้อมกับได้คำตอบว่าทำไมต้องทำเกษตรอินทรีย์
“ก็เราปลูกของกินให้มนุษย์ ไม่ได้ปลูกยาพิษ เราไม่ได้หยิบยาพิษให้คุณ ถ้าเราทำเกษตรอินทรีย์ เราหยิบยื่นของกินให้คุณ คุณจะเคารพผม ขอบคุณผม ผมก็ยินดี แต่เมื่อผมหยิบยื่นยาพิษให้คุณ ผมก็ฆ่าคุณทางอ้อม เมื่อเราหยิบยาพิษให้กันก็ไม่ต้องโหยหาความสัมพันธ์ใดๆ อีก” เป็นคำตอบอย่างไม่ลังเลจากลุงรีย์
“รู้จักตัวเองแบบพอดี มีเหลือแบ่ง ไม่พอก็เติม ไม่ซับซ้อนแต่ใช้เวลา” คงเป็นคำจำกัดความที่ลุงรีย์อยากบอกทุกคนที่มาเยี่ยมเยียนฟาร์มของลุง
ที่ตั้ง ซ. เพชรเกษม 46 แยก 11 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
เปิด วันอาทิตย์ 10.00-12.00 น. (เร็วๆ นี้อาจเก็บค่าเยี่ยมชมฟาร์มเล็กน้อย)
โทร. 06-1414-5242
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
“นายรอบรู้” มีหนึ่งที่มาแนะนำ นอกจากจะได้ไปพักผ่อนในวันหยุดยาวแล้ว ยังจะได้ไปสัมผัสประเพณีที่งดงามของชาวบ้านและได้ไปทำบุญรับวันปีใหม่ไทยอีก แบบนี้มีแต่ได้กับได้เลยหละคุณ…
ในครั้งนี้เราจะพาทุกท่านไปตามล่าหาอาหารอร่อยๆ ไปสัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ย้อนยุคแบบชาวอำเภอกงไกรลาศ ที่ตลาดริมยม 2437 ซึ่งจะจัดในทุกวันเสาร์แรกของเดือนเท่านั้น
พักใจกันอย่างเต็มอิ่ม กับ Workshop #Parkใจ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ณ สวนวชิรเบญจทัศ (จตุจักร) มีผู้เข้าร่วม Parkใจ ที่ผ่านการคัดเลือกร่วม 20 คน
ถ้าเอ่ยถึง “บ้านม่วงตึ๊ด” หลายคนอาจไม่รู้จักว่าอยู่แห่งหนตำบลใด แต่ถ้าพูดถึง “พระธาตุแช่แห้ง” เชื่อว่าหลายคนต้องร้องอ๋อ!!!
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเต็มงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยผนึกกำลังพันธมิตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยกทัพ Soft Power ของไทยเสนอแก่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ
สู่การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมตอกย้ำแบรนด์ Amazing Thailand ควบคู่กับแนวคิด Responsible Tourism ฉายภาพมิติใหม่ของท่องเที่ยวไทยที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์ Amazing Experience อันเปี่ยมด้วยคุณค่า และความหมายในทุกช่วงเวลา
นางสาวปาริชาติ บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า การจัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566”
ตามแคมเปญ “Visit Thailand Year 2023, Amazing New Chapters” โดย ททท. มุ่งมั่น กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังประเทศไทย เพื่อค้นพบมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
เชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมพลัง เติมความหมายบทใหม่ของชีวิต ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว รวมถึง Soft Power of Thailand และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
สำหรับหมุดหมายสุดท้ายของงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ the Southern Forecourt, Overseas Passenger Terminal, Circular Quay West ใจกลางนครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยได้รับความร่วมมือจากทีมประเทศไทย ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานพันธมิตร ผนึกกำลังออกแบบประสบการณ์ Amazing Experience ของประเทศไทยผ่านพลังแห่ง Soft Power มานำเสนอให้ชาวออสเตรเลียสัมผัสอย่างใกล้ชิด
พิธีเปิดงาน “Amazing Thailand Fest 2023 in Sydney” ในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ได้รับเกียรติจาก นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรีเลีย นางสาวสุกัญญา สิริกาญจนากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. นางสาวปาริชาต บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ททท. ร่วมเปิดงาน ภายในงาน ททท. เนรมิตบรรยากาศแห่งความรื่นเริงภายใต้ธีมงานเทศกาลประเพณีไทย F-Festival ประดับด้วยธงราว ตุง โคม และกระทงหลากสี พร้อมจัดพื้นที่จำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดดเด่น เช่น หาดทรายและชายทะเลไทย ก่อนจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวผ่าน
Soft Power ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค อาทิ รำไทย
สี่ภาค โขน โนรา เซิ้งอีสาน รำกลองยาว และการแสดงสุดพิเศษศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทย F-Fight มรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีส่วนร่วมลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโซนสาธิต ภายใต้แนวคิด Responsible Tourism นำเสนอกิจกรรมทำกระเป๋าสานจากขยะอวนทะเล จาก จ.กระบี่ และกิจกรรมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นของที่ระลึกจาก จ. ภูเก็ต รวมทั้งกิจกรรมสาธิตทางวัฒนธรรม ได้แก่ การวาดร่ม การเพ้นท์หน้ากากผีตาโขน และ F-Fashion เชิญชวนผู้เข้าร่วมงานแบ่งปันและโพสต์ประชาสัมพันธ์งาน Amazing Thailand Fest 2023 บนโซเชียลมีเดีย เพื่อรับของที่ระลึกกางเกงช้างแฟชั่นยอดฮิตของไทย
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ การนำเสนอวัฒนธรรมอาหาร F-Food กับ 8 บูธร้านอาหารไทยในซิดนีย์
จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มต้นตำรับไทย ประกอบด้วย ร้านชาติไทย (หมูพวง ส้มตำ ปากหม้อ ลาบไก่ ไส้กรอก
ไก่ย่างไม้) ร้าน Dodee Paidang Haymarket (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง ปาท่องโก๋ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด ไก่ทอด) ร้าน Thai Riffic Express (ผัดไทย โรตี ทาโก้ สะเต๊ะ) ร้าน Show Neua (ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริก ข้าวซอย น้ำเงี้ยว ขนมจีน
แกงปู) ร้านพริกไทย (ผัดผักรวมเม็ดมะม่วง มัสมั่นเนื้อ ขาหมู แกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ผัดซีอิ๊ว) ร้าน Tawandang @ George St (ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว) ร้าน Sabuy Express (ทุเรียน ขนุน ส้มโอ สับปะรด) ร้าน Top Class (มะพร้าว)
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบูธผู้ประกอบการพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมสาธิตเพ้นท์หน้ากากรูปสัตว์, สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (Thai Trade) ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมชิมผลไม้ไทย, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา จัดกิจกรรมชิมเนื้อเป็ดปรุงสุกซึ่งมีการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในออสเตรเลียเป็นครั้งแรก, สายการบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย และต่อยอดแนวคิด Responsible Tourism เสนอเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ 20 เส้นทาง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาด “BOOK NOW, GET 80 AUS NOW” จัดโปรโมชั่นจองที่พักที่ส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยภายในงาน ผ่านเว็บไซต์ agoda รับส่วนลด 80 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราคา 2,000 บาท) ทั้งนี้ การจัดงานยังคง DNA ของ ททท. ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้พลาสติก เลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ย่อยสลายได้ มีการวางระบบการคัดแยกขยะ และตระหนักถึงการใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกจากนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest Media Briefing” ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ Watersedge at Campbell’s Stores, the Rocks นครซิดนีย์ โดยเชิญพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนในพื้นที่ จำนวน 40 ราย ร่วมอัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย รวมถึงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย และต่อยอดจัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest to Fam Trip Australia to Thailand” นำคณะสื่อมวลชน influencers bloggers จากเครือรัฐออสเตรเลีย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ Amazing Experience ทดสอบสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทย ใน 3 จุดหมายปลายทางหลัก ได้แก่ มาสัมผัส กรุงเทพฯ เชียงราย และกาญจนบุรี- สมุทรสงคราม ระหว่างวันที่ 20 – 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีนัยยะสำคัญต่ออัตราการเติบโตของตลาดระยะใกล้ จากสถิติปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียแล้วกว่า 336,688 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเดินทางเข้าไทย
385,100 คน เทียบเท่าร้อยละ 85 ของสถิติในปี 2562 และจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับ ได้แก่กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) พัทยา (ชลบุรี) และกระบี่ ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials
/ Gen Y Digital nomad Family และ Health-conscious รวมทั้ง เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ตระหนักถึงการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สอดคล้องกับกลยุทธ์พลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเข้าเที่ยวไทย 522,000 ภายในสิ้นปีนี้
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
มาเยือนเมืองจันท์ ถ้าใครมองหาร้านอร่อยที่แตกต่างเรื่องบรรยากาศ สไตล์อาหารและที่สำคัญอร่อยด้วย “นายรอบรู้” ขอนำเสนอสองร้านเด็ดที่มาแล้วต้องลอง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดโครงการคาราวานรถยนต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย-จีน ณ มณฑล ยูนนานและมณฑลกุ้ยโจว (คุนหมิง-กุ้ยหยาง-เจิ้นหยวน-ซีเจียง-ขายหลี่-คุนหมิง) สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2562
คนทั่วไปรู้จักเมืองลำปางว่าเป็นเมืองรถม้า ในอดีตลำปางเคยอุดมไปด้วยไม้สัก เป็นพื้นที่สัมปทานไม้ของชาวต่างชาติ จึงเกิดการฝึกช้างขึ้นเพื่อใช้ชักลากไม้ในป่า ก่อนที่ศูนย์ฝึกช้างนั้นจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบัน นอกจากนี้ก็มีชาวพม่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานจนมีฐานะ แล้วสร้างวัดใหม่พร้อมบูรณะวัดเก่า ลำปางจึงมีวัดพม่าให้ชมมากที่สุดในประเทศไทย
ประกาศความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับงานเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ “บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2020” (Bangkok Art Biennale) กับความยิ่งใหญ่ระดับโลก ที่เนรมิตกรุงเทพฯ สู่เมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมระดับโลก ต่อเนื่องตลอด 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2563 – วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ยกระดับศิลปินไทยได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัย สู่สายตาระดับโลก
© 2018 All rights Reserved.