![](https://www.nairobroo.com/wp-content/uploads/2019/11/โป๊-ในหลวง-cover1-500x333.jpg)
รอยยิ้มจากวันวาน ปาฏิหาริย์ของชาวเล
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “เรามักจะเห็นคุณค่าของบางสิ่งในวันที่เราสูญเสียสิ่งนั้นไป” แต่จะเป็นอย่างไร หากสิ่งนั้นคือศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ
หลายครั้งที่เดินทางมายังภาคใต้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพความสวยงามของธรรมชาติและมนต์เสน่ห์แห่งดินแดนพหุวัตนธรรมยังตราตรึงใจเสมอ ทั้งหมดหล่อหลอมจนเป็นวิถีชีวิตและมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าหลงไหล หนึ่งในนั้นคือ วัดชลธาราสิงเห หรืออีกชื่อ ที่มักเจอในหน้าประวัติศาสตร์ไทยคือ วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย
วัดชลธาราสิงเห ตั้งอยู่ที่ ต. เจ๊ะเห อ. ตากใบ จ. นราธิวาส ท่านพระครูโอภาสพุทธคุณ (พุด) เป็นผู้เริ่มก่อตั้งวัดแห่งนี้ เมื่อ พ.ศ. 2403 โดยขอที่ดินจากพระยากลันตัน แต่เดิมเรียกว่าวัดเจ๊ะเหตามชื่อหมู่บ้าน ต่อมาได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการโดยนายอำเภอตากใบคนแรกว่า วัดชลธาราสิงเห ซึ่งแปลว่า วัดริมน้ำที่สร้างด้วยพระภิกษุที่มีบุญฤทธิ์ประดุจราชสีห์ พื้นที่วัดตั้งอยู่บนเนินดินริมแม่น้ำตากใบ ทำให้เวลาเดินเที่ยวชมภายในวัดมักมีลมเย็น ๆ ลอยมาสัมผัสให้ชื่นใจเสมอ
ประวัติเล่าไว้ว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2452 วัดแห่งนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้สยาม ต่อมากลายเป็นไทย ยังคงรักษาดินแดนในพื้นที่ภาคใต้ได้อยู่ จากกรณีแบ่งแยกดินแดนตากใบระหว่าง สยาม กับมลายู ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ ต่อมากลายเป็นมาเลเซียในปัจจุบัน
โดยอังกฤษได้ทำการปักปันเขตแดนเข้ามาถึงบ้านปลักเล็กเลยจากวัดชลธาราสิงเห 25 กิโลเมตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัวจึงทำการแย้ง โดยให้เหตุผลว่าวัดชลธาราสิงเหเป็นวัดไทยที่มีความสำคัญ เป็นมรดกทางที่สำคัญพุทธศาสนา มีสถาปัตยกรรมภายในวัดและศิลปะบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของชุมชน มาเป็นเครื่องต่อรองการแบ่งปันเขตแดน ฝ่ายอังกฤษจึงยอมรับและเลื่อนการปักปันเขตแดนถอยลงไปทางใต้จนถึงลำน้ำโกลก ทำให้ อ. ตากใบ อ. แว้งและ อ. สุไหงโกลก ยังอยู่ในการปกครองของไทยจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่นั้นจึงมีการเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย”
พระอุโบสถตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของวัด หันหน้าไปทางลำน้ำตากใบ มีสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เป็นอาคารเครื่องก่อ มีชายคาปีกนกลดหลั่นลงมา 3 ชั้น ท่านอาจารย์พุด ได้สร้างพระอุโบสถโดยมอบให้พระไชยวัดเกาะสะท้อนเป็นช่างก่อสร้าง โดยมี พระธรรมวินัย (จุ้ย) และทิดมี ชาวสงขลาช่วยกันเขียนภาพในพระอุโบสถ มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง 3 ด้าน ยกเว้นแต่ด้านหลังขององค์พระประธาน รวมถึงบนเสาและเพดาน ด้วยความที่มีชาวสงขลามาร่วมวาด ทำให้ภาพเขียนมีลวดลายความเป็นจีนเข้ามา ภาพส่วนใหญ่เป็นพุทธประวัติที่สอดแทรกภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น อีกทั้งมีภาพการใช้ชีวิตทั้งคนพุทธ มุสลิม จีน ซึ่งบ่งบอกได้ดีถึงวิถีชีวิตแบบพหุวัฒนธรรมในพื้นที่แห่งนี้มายาวนาน
อาคารที่ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2498 โดยพระครูสิทธิสารวิหารวัตร เดิมเป็นอาคารกุฏิไม้ทั้งหลังแต่ปัจจุบันมีการต่อเติมบำรุงใหม่และได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรให้เป็นพิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเหเพื่อเก็บโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด จากภาพถ่ายเก่า พบว่ากุฏิสิทธิสารประดิษฐ์เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูง หลังคาเป็นทรงปั้นหยาซ้อนกันหลายชั้น มุงกระเบื้องดินเผา บันไดหน้าเป็นบันไดก่ออิฐถือปูน มีการทำพนักเป็นรูปตัวนาค ปลายหางโค้งงอนรับกับมุขหลังคา ยอดหลังคาตกแต่งด้วยปูนปั้นลายเครือเถา ส่วนมุมหลังคาทำรูปคล้ายหางหงส์หรือหัวนาค
ด้านในมีการจัดแสดงอุปกรณ์เครื่องใช้สมัยก่อนทั้งเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพและอาวุธต่าง ๆ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์การลงนามในสัญญาไทย – อังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2451
ในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จประพาสวัดชลธาราสิงเหและได้มีการสร้างพลับพลาริมแม่น้ำตากใบเป็นที่ประทับซึ่งทางวัดยังรักษาไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ พื้นที่ตรงนี้เป็นลานกว้างริมแม่น้ำให้ได้มานั่งพักผ่อนย่อนใจ ทัศนียภาพโดยรอบเป็นแม่น้ำตากใบอันสวยงาม ไฮไลท์คือสามารถมองเห็นสะพานคอย 100 ปี ทอดข้ามแม่น้ำตากใบไปยังเกาะยาว ตรงนี้เป็นวิวที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดนราธิวาสเลยก็ว่าได้ หากใครมาอย่าลืมมา นั่งเล่นปล่อยอารมณ์ให้ผ่านไปกับสายน้ำและลมเย็น ๆ กันด้วยนะ…สบายอย่าบอกใครเชียว
นอกจากอาคารสถาปัตยกรรมแล้วที่แห่งนี้ยังมีภาษาที่ปัจจุบันหาฟังได้แค่ที่นี้เท่านั้นคือ ภาษาเจ๊ะเห เป็นภาษาถิ่นแต่ดั้งเดิม มีความไพเราะแตกต่างจากภาษาถิ่นใต้ทั่วไป เป็นเอกลักษณ์ของชาวตากใบและจังหวัดนราธิวาสมาจนถึงปัจจุบันนี้
หากใครชอบความสบายและบรรยากาศเงียบสงบสถานแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่ควรจะมาท่องเที่ยวสักครั้งหากมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามด้านสถาปัตยกรรมและธรรมชาติที่สวยงาม อีกทั้งเต็มไปด้วยวิถีชีวิตของชาวเจ๊ะแห รวมถึงความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “เรามักจะเห็นคุณค่าของบางสิ่งในวันที่เราสูญเสียสิ่งนั้นไป” แต่จะเป็นอย่างไร หากสิ่งนั้นคือศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ
จังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนดจัดกิจกรรมงาน “แต่งงานและจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง” ครั้งที่ 13 ประจำปี 2563 ในระหว่างวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์คชศึกษา หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ และ ร่วมอนุรักษ์วิถีชีวิตสืบสานประเพณีการแต่งงานแบบชนพื้นเมืองดั้งเดิมของสุรินทร์ให้คงอยู่สืบไป
“หาบขนมจีนแก้บน ยลพระนอนแห่งทุ่งโพธิ์ทอง ขอพรพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก”ทริปนี้อาจต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัว เพราะ “นายรอบรู้” จะพาไปทัวร์สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อบอวลไปด้วยความเชื่อและความศรัทธา
บ่ายวันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2565) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แถลงข่าวเปิด “ปีท่องเที่ยวไทย 2565” และ “Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters” เพื่อส่งสัญญาณให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ โดยยกโมเดล “DASH” เพื่อฟื้นการท่องเที่ยวไทยและช่วยฟื้นเศรษฐกิจในภาพรวม ณ ห้องฉัตรา บอลลูม 3 โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพมหานคร
© 2018 All rights Reserved.