
น้ำตกอลังการ ทุ่งดอกไม้งาม อช. ภูจองนายอย อุบลราชธานี
ปลายฤดูฝนฉ่ำ “นายรอบรู้” อยากชวนมาเยือนอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี ที่ยังอุดมสมบูรณ์ น่าแวะมาพักใจ พักกาย ให้ธรรมชาติช่วยชาร์จแบตชีวิตดีกว่า
ภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่นยังเป็นที่ที่อบอุ่นสำหรับเราเสมอ ทุกครั้งที่มาเยือนนอกจากบรรยากาศดีๆ กลิ่นไอท้องทุ่งบ้านนาและป่าเขาแล้ว ผู้คนที่นี่ยังพร้อมเป็นมิตรและส่งมอบสิ่งดีๆ ให้เราทุกครั้งที่มา ทริปนี้แสนพิเศษ ถือได้ว่าทั้งเที่ยวพักกายพักใจชมธรรมชาติและยังได้ถือโอกาสสำรวจพื้นที่ใกล้ๆ บ้านเกิดที่เรายังไม่เคยรู้จัก ชมศิลปะบนผาหินของผู้คนในยุคบรรพกาลที่สุดแสนจะประทับใจจนอยากบอกต่อ
ช่วงหน้าหลังออกพรรษาในฤดูกาลที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากหน้าฝนเข้าสู่หน้าหนาว บรรยากาศกำลังเย็นสบาย อบอวลไปด้วยสายหมอกและลมเอื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ผู้เขียนและเพื่อนร่วมทีมสองสามคนตั้งใจออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปกับรถไฟนอนที่เป็นการจองตั๋วรถไฟนอนเบาะแดงสายอีสานได้เองครั้งแรกในชีวิต (เพราะปกติเต็มตลอด) ถือเป็นแรกเริ่มฤกษ์ดีในทริปนี้ ภาษาอีสานเรียกว่า “ก้าวแรกแฮกหมาน”
จากนั้นขับรถกันต่อกว่าร้อยกิโลเมตรเพื่อเดินทางไปยังอำเภอภูผาม่าน อำเภอเล็กๆ ที่ห้อมล้อมไปด้วยภูเขา ทุ่งนา และลำน้ำยังอบอุ่นต้อนรับเราเสมอที่มาเยือน พวกเรามีการนัดหมายไกด์ท้องถิ่นอย่างพี่กุล กุลชาติ เค้นา เจ้าของร้านหมูกระทะในฟาร์มผักสุดเท่ใกล้ถ้ำค้างคาวไว้ล่วงหน้าว่าจะมาเยี่ยมยาม พี่กุลก็จัดหาที่พักในหมู่บ้านให้ในราคาหลักร้อยที่มีวิวและอากาศดีๆ อย่างประเมินค่าไม่ได้ พักเหนื่อยจากการเดินทางด้วยการเติมพลังหมูกระทะร้านฟาร์มคิดของพี่กุลอีกสักรอบ หมูที่หมักเอง น้ำจิ้มสูตรพิเศษที่ทำเอง และผักที่อยู่ในแปลง เป็นหมูกระทะที่เหมือนกินที่บ้านจริงๆ
ก่อนจะแยกย้ายเข้านอนพักผ่อน พี่กุลบอกลาพวกเราสามสาวเชิงนัดหมายว่า “พรุ่งนี้เช้าก่อนเดินป่ากันเรามาดริปกาแฟกันก่อนเนาะ พบกันสักหกโมงเช้า” ในใจได้แต่คิดว่ากินกาแฟอะไรกันเช้าขนาดนั้น
หกโมงเช้าตามเวลานัดหมายแต่กว่าจะมาถึงที่ก็คลาดเคลื่อนเลื่อนเวลาไปเกือบหกโมงครึ่ง เดินทางออกจากที่พักประมาณห้านาทีถึงที่หมาย ได้แต่มองหน้ากันและอุทานว่า “โอ้ โห” เข้าใจทันทีทำไมจึงต้องตื่นเช้าขนาดนี้มาเพื่อนั่งกินกาแฟ
วันนี้พวกเราก็ผลัดกันรับบทเป็นบาริสต้าริมหนองสมอ ก่อกองไฟดริปกาแฟชมนกชมไม้ ชมสายหมอกยามเช้าและตั้งวงนั่งเสวนาชวนคุยกระชับความสัมพันธ์กันต่อเพื่อรอน้ำในกาเดือด ไม่น่าเชื่อว่าในชีวิตนี้ต้องมาติดเตาถ่านก่อกองไฟต้มน้ำชงกาแฟเองในบทบาทที่ไม่ใช่วิชาลูกเสือ ยุวกาชาดสมัยมัธยมตื่นเต้นไปอีกแบบ หนุ่มน้อยวัยหัดเดินชวนเราดูธรรมชาติบ้านเขาด้วยความเต็มใจ “พุ่นๆ เห็นบ่ นกใหญ่ๆ” เราก็ได้แต่อมยิ้มและบันทึกภาพนี้ไว้เป็นความทรงจำ
“เราขายวันละแก้วสองแก้วนี่แหละ” พี่กุลชวนเราคุยถึงโปรเจ็คพาคนกินกาแฟชมวิวภูผาม่านที่เพิ่งเกิดได้เกือบเดือนนี้ด้วยความสนุกสนาน ดูบรรยากาศแล้วหากสายเกินไปเงาที่สะท้อนน้ำจะหายและแสงจะไม่สวย ฉะนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือเวลา 06:00 – 07:30 น. และอีกอย่างพื้นที่ริมหนองน้ำเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาและใช้เป็นพื้นที่ทำมาหากิน ร้านกาแฟริมบึงแห่งนี้จึงเปิดได้แค่วันละชั่วโมงและรับแขกได้เพียงไม่กี่คนต่อวัน และแขกที่มาต้องทำเองแทบจะทุกกระบวนการตั้งแต่ลองติดเตาไปจนถึงดริปกาแฟเอง
เรากลับมาภูผาม่านคราวนี้พี่กุลเริ่มขยับขยายชวนพี่ๆ น้องๆ ในชุมชนสร้างเครือข่ายท่องเที่ยวกันเอง สัมพันธ์กับคนในชุมชนทั้งที่พัก ที่กิน และที่เที่ยว สำหรับจุดนี้จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่ม วิวผาม่าน – View Phaman หากสนใจจะเป็นบาริสต้าริมน้ำวิวดีแบบนี้ก็ติดตามทางนี้เลยค่ะ https://web.facebook.com/viewphaman/
ว่าแล้วพวกเราก็จำใจต้องอำลาภูผาม่านที่ตระหง่านรับแสงแรกของวันเพื่อเดินทางเข้าป่าปีนถ้ำไปตามหาภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เรากลับมาที่นี่อีกครั้ง เก้าอี้ ข้าวของที่บรรทุกหลังรถกระบะมาต้องเก็บให้ครบทุกชิ้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้เป็นพื้นที่สาธารณะของทุกคนอย่างเดิม
“เราจะพากันกินข้าวป่านะ” ได้ฟังแล้วแอบตกใจ การกินข้าวในป่าแบบนี้ได้ใช่แค่เห็นในทีวีน่ะสิ ว่าแล้วก็ห่อเสบียงเตรียมของเข้าป่ากัน ขับรถออกจากหมู่บ้านมุ่งเข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูผาม่านเพื่อติดต่อและขอพบเจ้าหน้าที่ผู้จะนำทางโดยติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว
หนึ่งฤทัย ทองเหล็ก หรือ หนึ่ง และคุณพี่บุญถม ศรีบุญ หรือ พี่ถม ที่จะเป็นผู้นำพาเราเข้าป่าในครั้งนี้ “ขึ้นรถเลยครับผม” พี่ถมเปิดประตู สตาร์ทรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อคู่ใจที่ใช้ลงพื้นที่บ่อยๆ ขับพาพวกเราเข้าสู่หนทางป่าเขาที่สุดแสนจะลำบากลำบนด้วยความชำนาญโดยไม่มีพลาดพลั้งแม้แต่จุดเดียวทั้งที่หนทางเป็นโขดหิน โคลน ทรายและมีน้ำไหลผ่านเป็นร่องลึกอยู่หลายจุด
“ผมว่าคงต้องเดินแล้วครับ ขับต่อไม่ได้แล้ว” พี่ถมจำเป็นต้องพาเราลงเดินตรงนี้ ก่อนถึงถ้ำประมาณหนึ่งกิโลเมตรเป็นหนทางลาดชันที่รถยนต์ไม่สามารถพาเราเข้าไปได้จึงจำเป็นต้องใช้ร่างกายที่สุขสบายในเมืองนานจนเคยตัวมาสัมผัสกับธรรมชาติในป่าจริงๆ สักที เดินมาสักพักเริ่มเห็นป้ายที่ถูกโอบกอดอย่างแน่นหนาของเหล่าพืชไม้เลื้อยที่เติบโตเป็นอย่างดีในหน้าฝนที่ผ่านมา
“นี่กลุ่มแรกเลยนะคะหลังจากหน้าฝน” หนึ่งบอกพลางดูพี่ถมกำลังแผ้วถางทางสำหรับฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นให้ผู้คนเข้ามาเที่ยว
เดินทางลาดชันและปีนผาหินขึ้นไปอีกหน่อยไม่ได้ถือว่าลำบากจนเกินไป แต่ก็อันตรายพอสมควรหากพลัดตกลงมา “นั่นไงภาพเขียนสี” ใครสักพูดขึ้นมา ภาพเขียนสีแดงคล้ำคล้ายสีน้ำหมาก และปะปนด้วยภาพสีแดงอมส้ม ประมาณ 74 ภาพ ศิลปะของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่เราดั้นด้นเดินทางไกลเข้ามา ได้พบสมใจแล้ว สวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ
ข้อมูลจากรายงานการสำรวจโดยโครงการโบราณคดีประเทศไทยพบว่าชุดภาพเขียนสีบนผนังถ้ำนี้หากเปรียบเทียบกับภาพเขียนสีที่พบในภาคอีสานสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่ราว 6,000 – 5,000 ปีมาแล้ว และมีการทำต่อเนื่องมาจนถึงราว 3,000 – 2,000 ปีมาแล้ว ทางกรมศิลปากรตีความวิธีการเขียนเป็น 2 วิธีการ คือ อย่างแรกเป็นการนำมือทาสีแล้วทาบลงบนผนัง และอย่างที่สองคือการใช้สีเขียนเป็นเส้นรอบฝ่ามือและนิ้ว
ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำสะท้อนถึงความเชื่อพื้นฐานของผู้คนก่อนประวัติศาสตร์ที่นับได้ว่าเป็นพัฒนาการแห่งศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ในยุคแรกเริ่มที่เรียกว่า “Animism” ที่มนุษย์มีความสัมพันธ์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ จึงเชื่อว่าเป็นที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ส่วนความเชื่อจากตำนานท้องถิ่น จากการพูดคุยกับชาวบ้านใกล้เคียงพบว่าคนท้องถิ่นเชื่อว่าภาพเขียนฝาผนังถ้ำลายแทงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการบ่งบอกลายแทงสมบัติของคนยุคโบราณจึงเรียกขานกันว่า “ถ้ำลายแทง”
ชมภาพเขียนสีและมองภูมิทัศน์รอบๆ จนหายเหนื่อยแล้ว เที่ยงตรงเหมาะเจาะกับเวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี ก่อนกลับก็พากันหยิบห่อข้าวน้อยห่อใบตองที่บรรจุไก่ปิ้ง ข้าวเหนียวนึ่ง ผักลวกและกลิ่นหอมๆ ของแจ่วปลาร้าบองขึ้นมา เมนูอาหารช่างเข้ากับบรรยากาศกินข้าวป่าของทริปนี้เสียจริง ปิดท้ายบรรยากาศป่าเขาดีๆ ก่อนเดินทางไปขึ้นรถไฟในเมืองเพื่อแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองในวันจันทร์ต่อ
อ้างอิง
กรมศิลปากร. 2558. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีและแหล่งศิลปกรรมในเขตอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
เล่มที่ 2 โครงการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองโบราณ บ้านนาโพธิ์ ตำบลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
ศรีศักร วัลลิโภดม. 2560. พุทธศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
ขอบคุณ
คุณกุลชาติ เค้นา และ วิวผาม่าน – View Phaman
คุณหนึ่งฤทัย ทองเหล็ก นักวิชาการป่าไม้ คุณบุญถม ศรีบุญ พนักงานพิทักป่า จากอุทยานแห่งชาติ ภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น
แตงกวา และพี่เป้ เพื่อนร่วมทริป
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
ปลายฤดูฝนฉ่ำ “นายรอบรู้” อยากชวนมาเยือนอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี ที่ยังอุดมสมบูรณ์ น่าแวะมาพักใจ พักกาย ให้ธรรมชาติช่วยชาร์จแบตชีวิตดีกว่า
ไม่ว่าจะเป็นขนมจีบปู ขนมจีบกุ้งซอสกะหรี่ ขนมจีบหมูไข่เค็ม ขนมจีบไข่เยี่ยวม้า ฮะเก๋า เบคอนพันบร็อกโคลี เบคอนพันกุ้ง ไส้กรอกถั่วลันเตา ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว หมึกซอสหวาน สาหร่ายแมงกะพรุน ซี่โครงหมูเต้าซี่ หรืออีกหลากหลายเมนูครบทุกความชอบ
เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางกันไหม? “นายรอบรู้” เอาใจคนมีเวลาน้อย อยากชวนคุณนั่งรถไฟไปเพชรบุรีกับขบวนรถพิเศษนำเที่ยวที่ 911 เส้นทางกรุงเทพฯ-สวนสนประดิพัทธ์ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี และ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดหวูดเส้นทางท่องเที่ยว “ชมวิวรถราง เที่ยวทางรถเล้ง จ.เพชรบุรี”
ร่องสวนขนาดเรือแจวพายได้พอดีลำ วางตัวทอดยาวจนสุดสายตาสลับคันดินที่เต็มไปด้วยต้นส้มโอที่แผ่กิ่งก้านใบ และผลส้มโอห้อยระย้าเต็มพื้นที่กว่า 30 ไร่ ในอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเต็มงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยผนึกกำลังพันธมิตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยกทัพ Soft Power ของไทยเสนอแก่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ
สู่การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมตอกย้ำแบรนด์ Amazing Thailand ควบคู่กับแนวคิด Responsible Tourism ฉายภาพมิติใหม่ของท่องเที่ยวไทยที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์ Amazing Experience อันเปี่ยมด้วยคุณค่า และความหมายในทุกช่วงเวลา
นางสาวปาริชาติ บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า การจัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566”
ตามแคมเปญ “Visit Thailand Year 2023, Amazing New Chapters” โดย ททท. มุ่งมั่น กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังประเทศไทย เพื่อค้นพบมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
เชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมพลัง เติมความหมายบทใหม่ของชีวิต ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว รวมถึง Soft Power of Thailand และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
สำหรับหมุดหมายสุดท้ายของงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 ณ the Southern Forecourt, Overseas Passenger Terminal, Circular Quay West ใจกลางนครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยได้รับความร่วมมือจากทีมประเทศไทย ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ธุรกิจนำเที่ยว และหน่วยงานพันธมิตร ผนึกกำลังออกแบบประสบการณ์ Amazing Experience ของประเทศไทยผ่านพลังแห่ง Soft Power มานำเสนอให้ชาวออสเตรเลียสัมผัสอย่างใกล้ชิด
พิธีเปิดงาน “Amazing Thailand Fest 2023 in Sydney” ในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ได้รับเกียรติจาก นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรีเลีย นางสาวสุกัญญา สิริกาญจนากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. นางสาวปาริชาต บุญคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ททท. ร่วมเปิดงาน ภายในงาน ททท. เนรมิตบรรยากาศแห่งความรื่นเริงภายใต้ธีมงานเทศกาลประเพณีไทย F-Festival ประดับด้วยธงราว ตุง โคม และกระทงหลากสี พร้อมจัดพื้นที่จำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดดเด่น เช่น หาดทรายและชายทะเลไทย ก่อนจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวผ่าน
Soft Power ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค อาทิ รำไทย
สี่ภาค โขน โนรา เซิ้งอีสาน รำกลองยาว และการแสดงสุดพิเศษศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทย F-Fight มรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีส่วนร่วมลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโซนสาธิต ภายใต้แนวคิด Responsible Tourism นำเสนอกิจกรรมทำกระเป๋าสานจากขยะอวนทะเล จาก จ.กระบี่ และกิจกรรมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นของที่ระลึกจาก จ. ภูเก็ต รวมทั้งกิจกรรมสาธิตทางวัฒนธรรม ได้แก่ การวาดร่ม การเพ้นท์หน้ากากผีตาโขน และ F-Fashion เชิญชวนผู้เข้าร่วมงานแบ่งปันและโพสต์ประชาสัมพันธ์งาน Amazing Thailand Fest 2023 บนโซเชียลมีเดีย เพื่อรับของที่ระลึกกางเกงช้างแฟชั่นยอดฮิตของไทย
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ การนำเสนอวัฒนธรรมอาหาร F-Food กับ 8 บูธร้านอาหารไทยในซิดนีย์
จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มต้นตำรับไทย ประกอบด้วย ร้านชาติไทย (หมูพวง ส้มตำ ปากหม้อ ลาบไก่ ไส้กรอก
ไก่ย่างไม้) ร้าน Dodee Paidang Haymarket (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง ปาท่องโก๋ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด ไก่ทอด) ร้าน Thai Riffic Express (ผัดไทย โรตี ทาโก้ สะเต๊ะ) ร้าน Show Neua (ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริก ข้าวซอย น้ำเงี้ยว ขนมจีน
แกงปู) ร้านพริกไทย (ผัดผักรวมเม็ดมะม่วง มัสมั่นเนื้อ ขาหมู แกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ผัดซีอิ๊ว) ร้าน Tawandang @ George St (ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว) ร้าน Sabuy Express (ทุเรียน ขนุน ส้มโอ สับปะรด) ร้าน Top Class (มะพร้าว)
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบูธผู้ประกอบการพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมสาธิตเพ้นท์หน้ากากรูปสัตว์, สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (Thai Trade) ณ นครซิดนีย์
จัดกิจกรรมชิมผลไม้ไทย, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ณ กรุงแคนเบอร์รา จัดกิจกรรมชิมเนื้อเป็ดปรุงสุกซึ่งมีการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในออสเตรเลียเป็นครั้งแรก, สายการบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย และต่อยอดแนวคิด Responsible Tourism เสนอเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ 20 เส้นทาง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาด “BOOK NOW, GET 80 AUS NOW” จัดโปรโมชั่นจองที่พักที่ส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยภายในงาน ผ่านเว็บไซต์ agoda รับส่วนลด 80 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราคา 2,000 บาท) ทั้งนี้ การจัดงานยังคง DNA ของ ททท. ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้พลาสติก เลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ย่อยสลายได้ มีการวางระบบการคัดแยกขยะ และตระหนักถึงการใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกจากนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest Media Briefing” ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ Watersedge at Campbell’s Stores, the Rocks นครซิดนีย์ โดยเชิญพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนในพื้นที่ จำนวน 40 ราย ร่วมอัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย รวมถึงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย และต่อยอดจัดกิจกรรม “Amazing Thailand Fest to Fam Trip Australia to Thailand” นำคณะสื่อมวลชน influencers bloggers จากเครือรัฐออสเตรเลีย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ Amazing Experience ทดสอบสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทย ใน 3 จุดหมายปลายทางหลัก ได้แก่ มาสัมผัส กรุงเทพฯ เชียงราย และกาญจนบุรี- สมุทรสงคราม ระหว่างวันที่ 20 – 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีนัยยะสำคัญต่ออัตราการเติบโตของตลาดระยะใกล้ จากสถิติปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียแล้วกว่า 336,688 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเดินทางเข้าไทย
385,100 คน เทียบเท่าร้อยละ 85 ของสถิติในปี 2562 และจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับ ได้แก่กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) พัทยา (ชลบุรี) และกระบี่ ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials
/ Gen Y Digital nomad Family และ Health-conscious รวมทั้ง เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ตระหนักถึงการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สอดคล้องกับกลยุทธ์พลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเข้าเที่ยวไทย 522,000 ภายในสิ้นปีนี้
Guide ใกล้ เหมือนมีไกด์ไว้ใกล้ตัว
Application นี้จะช่วยแนะนำว่า ตำแหน่งรอบตัวเรามีที่เที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก หรือสถานที่จุดใดน่าแวะไปสัมผัส ชิม ช็อป แชะ แชร์ พร้อมกิจกรรมเด่นประจำเดือน แผนที่ลงจุดใช้งานง่าย ดูสนุกและสะดวก แค่ดูภาพสวยๆ ก็อยากไปแล้ว
การทำย่านลิเภา มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 จนถึงปัจจุบันก็ประมาน 23 ปีแล้ว คนที่นี่สานย่านลิเภาเป็นอาชีพเสริมรองจากการกรีดยางและทำนา โดยมี ป้าลั่น ชูศรี ผู้ริเริ่มสานย่านลิเภาเป็นคนฝึกสอน จุดประสงค์ที่ก่อตั้งกลุ่มจักสานย่านลิเภานี้ขึ้นมาเพราะอยากให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยใช้เวลาว่างหลังจากการทำสวนยาง
เราอยากแนะนำ Passione del Caffé ร้านกาแฟที่มีทั้งกาแฟดีๆ และเพื่อนสนทนาเรื่องกาแฟ ที่อยู่ใจกลางเมืองตรัง สำหรับคนหลงรักรสชาติและความหอมของกาแฟได้ไปลองกัน
“มื้อนี้กินหยังดีน้อ” เสียงหวานๆ ของป้านาง อุ่นเรือน สว่างวงษ์ แม่ค้าส้มตำวัย 62 ปี ที่ทักทายลูกค้าทุกคนด้วยความเป็นกันเอง โดยใช้ภาษาอีสานบ้านเกิดและความคุ้นเคยที่ขายส้มตำในย่านนี้กว่า 40 ปี ถือว่าเป็นแม่ค้าส้มตำอีสานที่มีความเก่าแก่ร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ สลับกับการตระเตรีมอาหารเพื่อเสิร์ฟลูกค้าคนอื่นๆ อย่างชำนิชำนาญ
ที่เที่ยวใหม่ที่อยากพาทุกคนมาชมบรรยากาศท้องทุ่งนาแบบสุดลูกหูลูกตาจากมุมสูง นั่นคือ หอชมทุ่งต้นตาล ตั้งอยู่ที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
© 2018 All rights Reserved.