แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในอาคารจากที่ไหนสักแห่ง ผมมองขึ้นไปและพบกับช่องบนหลังคาที่แสงส่องลงมาให้แสงสว่างกลางตัวบ้าน อากาศภายในจึงถ่ายเท ไม่อบอ้าว ด้านล่างของช่องแสงมี “จิ่มแจ้” ลานสำหรับซักล้างและบ่อน้ำรองรับน้ำฝน นับเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนที่ทำให้ผมตกหลุมรัก
ยังมีทางเดินเชื่อมไปยังตึกชิโนโปรตุกีสหลังอื่น เรียกว่า หงอกากี่ (หง่อค่าขี่) เป็นทางเดินโบราณ เชื่อมต่ออาคารทุกหลังไว้ด้วยกัน สามารถกันแดดและฝนขณะเดินได้เป็นอย่างดี
ตามความเชื่อของชาวจีน ลักษณะโค้งของหงอกากี่ เปรียบได้กับคันธนูที่ง้างรอพร้อมยิงลูกดอกไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ทุกสิ่งอย่างในวิถีชีวิตของชาวภูเก็ตล้วนเกิดจากการหลอมรวมของวัฒนธรรมนานาชาติ ผมก็ภูมิใจที่มีตึกแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัด เฝ้ารอนักท่องเที่ยวมาเชยชมความงดงาม